The Agenda South

The Agenda Southวาระภาคใต้ เชื่อมไทย เชื่อมโลก

I-Bank FC ฉลองชัย ชนะดวลจุดโทษ หจก.PND ตากใบ นัดชิงฟุตบอล "Selatan Thailand Tournament (STT) 2024"

@30 มิ.ย. 2567 20:46

I-Bank FC ฉลองชัย ชนะดวลจุดโทษ หจก.PND ตากใบ 4-3 นัดชิงฟุตบอล "Selatan Thailand Tournament (STT) 2024" คว้า 1 ล้านบาท พร้อมถ้วยรางวัลจากนายกรัฐมนตรี

วันนี้ (30 มิ.ย.) พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นประธานในพิธีปิด การแข่งขันฟุตบอล Selatan Thailand Tournament (STT) 2024 โดยมีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนราธิวาส นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดยะลา ผู้แทนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร  ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ท่องเที่ยวและกีฬา ผู้แทนหัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ร่วมชมการแข่งขันพร้อมส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจนักเตะอย่างคึกคัก

สำหรับการแข่งขัน นัดชิงชนะเลิศในครั้งนี้เป็นการพบกันระหว่าง หจก.PND  ตากใบ และ ทีม I-Bank FC โดยทีมที่ชนะการแข่งขัน ได้แก่ ทีม I-Bank  FC จบด้วยสกอร์ 4-3 ด้วยการดวลจุดโทษ หลังหมดเวลาการแข่งขันเสมอ 0-0

สำหรับการแข่งขันฟุตบอลครั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566 ที่รัฐบาลมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2567 เพื่อความสุขของประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกีฬาที่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นิยมเล่นกันอย่างกว้างขวาง สร้างความรักความสามัคคี และส่งเสริมสุขภาพพลานามัยที่ดีให้กับประชาชน ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพและเฟ้นหาผู้มีทักษะความสามารถที่โดดเด่นเข้าสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพต่อไป

การจัดการแข่งขันฟุตบอล Selatan Thailand Tournament (STT) 2024 ครั้งนี้ ได้ดำเนินการแข่งขันรอบคัดเลือก 128 ทีม ในรอบแรก แบ่งกลุ่ม 32 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม โดยทีมอันดับ 1 ในแต่ละกลุ่ม จะผ่านเข้ารอบ Knock out เข้าสู่รอบ 32 ทีม จนถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยกำหนดจัดพิธีเปิดการแข่งขันเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา และพักการแข่งขันในห้วงเดือนรอมฏอน ก่อนจะกลับมาแข่งขัน เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นมา ซึ่งคณะกรรมการจัดการแข่งขันฯได้ดำเนินการจัดให้มีการแข่งขัน ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดและ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา เพื่อกระจายโอกาสของประชาชนในการเข้าร่วมกิจกรรมในระดับจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในครั้งนี้ ทีมชนะเลิศ จะได้รับเงินรางวัล จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลจากนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน)

พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสเป็นสักขีพยานของการแข่งขันที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ความตื่นเต้น และน้ำใจนักกีฬาจากนักกีฬา กว่า 220 เกมการแข่งขัน จากทั้ง 128 ทีม ซึ่งเป็นตัวแทนจากทั้ง 37 อำเภอ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  ขอแสดงความยินดีกับทีม I-Bank FC ที่คว้าแชมป์การแข่งขันฟุตบอล Selatan Thailand Tournament (STT) 2024 ในครั้งนี้ และขอขอบคุณ  หจก.PND ตากใบ  ทีมรองชนะเลิศ และทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันทุกทีม  สำหรับความทุ่มเท ความตั้งใจ ตลอดการแข่งขัน ทั้งนี้ระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ก็สามารถตระหนักได้ว่า คำว่ากีฬาฟุตบอล ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น ไม่เพียงแต่เป็นการแข่งขันฟุตบอลเพื่อความสนุกสนาน แต่ยังเป็นโอกาสที่นักเตะและทีมฟุตบอลในภูมิภาคใต้ได้เดินทางมาทดสอบความสามารถและสามารถยกระดับให้เป็นที่รู้จักทั้งในระดับท้องถิ่นสู่ระดับภูมิภาคและต่อยอดจนถึงระดับชาติ นอกจากนี้ นัยสำคัญไม่ได้เน้นเฉพาะเพียงความสำคัญในทางกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสที่ทำให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างทีม ระหว่างพื้นที่ ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม อีกทั้งสามารถส่งเสริมการสร้างมูลค่าการอยู่ร่วมกันในมิติของการสร้างพื้นที่กลางให้กับชุมชนท้องถิ่น และเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนฟุตบอลในภูมิภาคนี้อีกด้วย การแข่งขันครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเฟ้นหานักกีฬาที่มีฝีมือแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาเล่นกีฬา ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ ห่างไกลจากภัยยาเสพติด

“สรรเพชญ” เบรกรัฐบาลอย่าคิดขายชาติ ย้อนเพื่อไทยอย่าถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

@30 มิ.ย. 2567 20:31

“สรรเพชญ บุญญามณี” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์เบรกรัฐบาลอย่าคิดขายชาติ ย้อนเพื่อไทยอย่าถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

วันนี้ (30 มิ.ย.) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีการสั่งการด่วนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ศึกษามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และเตรียมการเพื่อรองรับการดำเนินการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก (Thailand Vision) โดยจะปรับแก้กฎหมายให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดินได้นานขึ้นจาก 50 ปี เป็น 99 ปี และถือกรรมสิทธิ์ห้องชุด เพิ่มสัดส่วนจาก 49% เป็น 75% โดยนายสรรเพชญกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นที่น่าสงสัยโดยเฉพาะท่าทีของผู้นำรัฐบาลคือ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีที่ได้รับสมญานามว่าเป็น “เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์” ที่มีความต้องการดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งทำให้สังคมเกิดความสงสัยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือต้องการเอื้อผลประโยชน์ให้กับใครหรือไม่ ตนไม่อยากให้เกียรติภูมิของนายกรัฐมนตรีต้องถูกครหาว่าเอื้อประโยชน์พวกพ้อง ดังนั้นนายกรัฐมนตรีต้องระมัดระวังเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

นายสรรเพชญ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลมีนโยบายต้องการให้ต่างชาติเช่าที่ดินที่มีระยะเวลากว่า 99 ปี ซึ่งระยะเวลานานขนาดนี้ไม่มีความแตกต่างอะไรกับเรื่องการขาย เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครที่อยู่ขนาดนั้น อีกทั้งระยะเวลากว่า 99 ปีก็มากเกินความจำเป็น นอกจากนี้เรื่องของสัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) จาก 49% เป็น 75% นั้น เรื่องนี้ก็มีความน่าเป็นห่วงไม่น้อย เพราะนโยบายนี้ต้องการให้ภาคอสังหาริมทรัพย์สามารถขายห้องชุดในโครงการใหญ่ ๆ ได้มากยิ่งขึ้น แต่ก็มีห้องชุดอีกไม่น้อยที่ยังต้องการขายและสัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ก็ยังสามารถให้ชาวต่างชาติซื้อได้อยู่ นอกจากนี้ยังมีเสียงคัดค้านนโยบายดังกล่าวเพราะจะทำให้เกิดโรงแรมเถื่อนมากขึ้นจากการปล่อยคอนโดให้เช่ารายวัน นายสรรเพชญ เห็นว่า นอกจากเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายแล้ว ยังเป็นการสร้างความรบกวนให้กับลูกบ้านคนอื่น ๆ โดยตนได้ยกตัวอย่างกรณีทุนจีนตู้ห่าวที่เหมาซื้อเกือบทั้งโครงการสร้างความรำคาญจนคนไทยต้องย้ายบ้านหนี โดยตนขอตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลมีความกังวลว่าภาคอสังหาริมทรัพย์กำลังขายไม่ออกซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาการชำระหนี้ธนาคารไม่ได้ตามกำหนดซึ่งนี่เป็นผลให้รัฐบาลพยายามบีบให้แบงค์ชาติลดอัตราดอกเบี้ยใช่หรือไม่?

นายสรรเพชญ กล่าวทิ้งท้ายว่า มาตรการถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดนั้นเป็นเรื่องที่สะท้อนความแหลมคมในการบริหารจัดการภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่มีความรู้ ความเข้าใจที่เพียงพอ ตนจึงเสนอว่า หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจจริง และบรรเทาความซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขายไม่ออกรัฐบาลควรหาแนวทางใหม่ ๆ ที่มักจะถูกมองข้าม อย่างเรื่องการปรับเปลี่ยนค่าสวัสดิการบ้านพักข้าราชการให้เป็นทางเลือกที่สามารถเลือกเช่าซื้อหรือเช่าเพื่ออยู่อาศัยได้มากขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นแนวทางที่ดีกว่าการตั้งงบประมาณประจำปีเพื่อก่อสร้างบ้านพักในทุก ๆ ปี นอกจากนี้เมื่อครั้งพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านก็มีการออกมาคัดค้านนโยบายขยายเพดานต่างชาติซื้อบ้านในไทยของรัฐบาลชุดที่แล้วและมองว่าอาจถูกครหาว่าเป็นรัฐบาลขายชาติได้มาวันนี้พรรคเพื่อไทยกลับมุ่งมั่นที่จะทำเรื่องนี้ราวกับว่าไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน ในขณะนี้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลมีอำนาจในการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินน่าจะพิจารณาเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนอย่าถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

รมว.แรงงานมอบสำนักงานประกันสังคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมถึงบ้านพัก จ.นครราชสีมา

@30 มิ.ย. 2567 20:25

ผู้ประกันตนอุ่นใจ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.แรงงาน มอบสำนักงานประกันสังคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมถึงบ้านพัก จ.นครราชสีมา

วันนี้ (30 มิ.ย.) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ สำนักงานประกันสังคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมคุณภาพชีวิตผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพใน “โครงการ สปส.มอบสุข” จังหวัดนครราชสีมา ในการนี้ นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้มอบหมายให้ นางสาวนันทินี ทรัพย์ศิริ ที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ สำนักงานประกันสังคม พร้อมด้วย นางสาวจีระภา บุญรัตน์ รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม และ นางนงค์ลักษณ์ กอวรกุล ผู้ตรวจราชการกรม สำนักงานประกันสังคม โดยมี นายสุทธิวิชญ์ ทองมี ประกันสังคมจังหวัดนครราชสีมา นายพิชิต ยืนนาน นักกายภาพบำบัดชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานภาค 4 และเจ้าหน้าที่ ร่วมลงพื้นที่ด้วย

นางสาวนันทินี ทรัพย์ศิริ ที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ สำนักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รวมถึง นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้ฝากความห่วงใยผู้ประกันตนที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนเป็นเหตุให้ทุพพลภาพ ในวันนี้จึงได้มอบหมายให้ตน พร้อมคณะผู้บริหารสำนักงานประกันสังคม ลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เพื่อตรวจเยี่ยมคุณภาพชีวิตของผู้ประกันตน รวมถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้สิทธิตามกฎหมาย ในโอกาสนี้ สำนักงานประกันสังคมได้นำสิ่งของเครื่องอุปโภคและบริโภค ตลอดจนเครื่องใช้ต่าง ๆ มามอบให้ผู้ประกันตนถึงบ้านพัก ซึ่งอยู่ในการดูแลของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 3 ราย ดังนี้

รายแรกคือ นายณัฐวรรธน์ พันธ์วิลัย อายุ 39 ปี เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 อาศัยอยู่บิดาและมารดาในอำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา ทุพพลภาพจากอุบัติเหตุจราจร พบเลือดออกในสมอง เป็นเหตุให้แขนข้างขวาอ่อนแรง การสื่อสารพูดได้ช้า ใช้ไม้เท้าในการเดิน สูญเสียสมรรถภาพในการทำงานของร่างกายร้อยละ 83 ได้รับสิทธิเป็นผู้ทุพพลภาพตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2558 โดยได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เดือนละ 3,999 บาท ตลอดชีวิต

รายที่ 2 คือ นายเด่น เล็กกลาง อายุ 56 ปี เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 อาศัยอยู่กับบุตรชายในอำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ทุพพลภาพจากอุบัติเหตุจราจร เป็นเหตุให้กระดูกสันหลังหัก ร่างกายท่อนล่างเป็นอัมพาต ไม่สามารถเดินได้ สูญเสียสมรรถภาพในการทำงานของร่างกายร้อยละ 70 ได้รับสิทธิเป็นผู้ทุพพลภาพตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2545 โดยได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เดือนละ 3,000 บาท ตลอดชีวิต

และรายที่ 3 คือ นางสาวนันทิกานต์ ชัยภา อายุ 32 ปี เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 อาศัยอยู่กับบิดาและมารดาในอำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา ทุพพลภาพจากอาการหลอดเลือดสมองแตก เป็นเหตุให้แขนและขาข้างซ้ายอ่อนแรง ไม่สามารถเดินได้ การสื่อสารพูดได้ช้าและไม่ชัดเจน สูญเสียสมรรถภาพในการทำงานของร่างกายร้อยละ 80 ได้รับสิทธิเป็นผู้ทุพพลภาพตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2564 โดยได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เดือนละ 7,500 บาท ตลอดชีวิต

“ทวี” ลงพื้นที่เกิดเหตุคาร์บอมบ์ที่นราฯ แสดงความเสียใจแก่ผู้เสียชีวิต และครอบครัว จนท.บาดเจ็บ

@30 มิ.ย. 2567 20:16

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่เกิดเหตุคาร์บอมบ์ อ.บันนังสตา จ.นราธิวาส พร้อมขอแสดงความเสียใจต่อครูตาดีกาเสียชีวิต 1 ราย และครอบครัวเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ 21 ราย

วันนี้ (30 มิ.ย.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. นายอำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9 นำคณะลงพื้นที่ เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ รถ TOYOTA สีน้ำเงิน กข 3320 เบตง บรรจุถังเกส จำนวน 1 ถัง 80 กก. วางไว้บริเวณหน้าแฟลตข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ในพื้นที่เขต อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา แรงนะเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 1 ราย ทราบชื่อ คือนางรอกีเยาะห์  สะระนะ อายุ 45 ปี เป็นครูโรงเรียนตาดีกาอาศัยอยู่ในพื้นที่ บ้านบาเจาะ หมู่ที่ 2 ตำบลบาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ทำให้เจ้าหน้าที่และครอบครัวได้รับบาดเจ็บ รวม 21 ราย

พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า เหตุครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นครูตาดีกา ผ่านมาพอดีเป็นจังหวะที่คนร้ายทิ้งรถคาร์บอมไว้ เกิดระเบิดพอดี หลังเกิดเหตุท่านผู้บัญชาการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้การ และหน่วยงานทุกภาคส่วน พยายามตามว่าเหตุเกิดยังไง ใครเป็นอะไร จากการตรวจสอบ ที่เกิดเหตุและ กล้องCCTV รายละเอียดทราบว่าได้เยอะพอสมควรขอให้เขาดำเนินการต่อไป ก็ต้องแสดงความเสียใจกรณีเหตุระเบิด จริงๆ คนสูญเสียเป็นประชาชน เป็นครูตาดีกาด้วยที่ต้องไปสอนหนังสือ ให้เด็ก เขาจะมาซื้ออาหารทำกับข้าวให้เด็กตาดีกา ต้องมาเสียชีวิต ก็ขอแสดงความเสียการก่อเหตุ ท่านผู้บัญชาการ มีประสบการณ์ ก็จะตรวจสอบอย่างละเอียด

พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9 กล่าวว่า สำหรับรถยนต์ที่คนร้ายนำมาใช้ก่อเหตุคันนี้ มาจากต่างอำเภอ เป็นของหน่วยราชการ หายเมื่อวานแล้วคนร้ายได้นำมาวางก่อเหตุโดยไม่มีการเปลี่ยนสภาพเลย  คนร้ายนำซุกซ่อนระเบิดมาวางก่อเหตุ

นางแมะ อายุ 65 ปี ชาวบันนังสตา กล่าวว่า เสียงดังมาก ตกใจ ร้องไห้เลยกลัวว่าลูกจะโดนด้วย แต่โชคดี ไม่มีใครเป็นอะไร ยิ่งกว่านั้นที่โชคดีกว่าที่เขาไม่ทำเมื่อวาน ถ้าเมื่อวานเป็นวันตลาดนัด ตรงนั้นจะชาวบ้านอีกเยอะที่ไปจ่ายตลาด แต่ก็ถือโชคดีเป็นวันนี้ คนไม่เยอะ และตรงจุดที่เกิดเหตุส่วนมาก คนไปทำสวนจะใช้เดินทางกลับบ้าน คนทราโดนส่วนมากคนที่ไปซื้อของกับคนเดินทางไปมา ชาวบ้านและที่จะโดนเพราะมันคือตลาด

ไฟไหม้บ้านเก็บของเก่าเมืองหาดใหญ่ สุดแปลกไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่กลับเสียหายวอดทั้งหลัง

@30 มิ.ย. 2567 20:07

เกิดเหตุไฟลุกไหม้บ้านเก็บของเก่า สุดสาย 1 ถนนรัตนวิบูลย์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สุดแปลกไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่กลับเสียหายวอดทั้งหลัง

วันนี้ (30 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หาดใหญ่ ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีเหตุไฟไหม้ที่สุดสาย 1 ถนนรัตนวิบูลย์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หลังรับแจ้งจึงประสานไปยังรถดับเพลิงของเทศบาลนครหาดใหญ่ และหน่วยกู้ภัยของมูลนิธิท่งเซียเซี่ยงตึ้งหาดใหญ่ แล้วจึงรีบให้ตำรวจจราจรและสายตรวจรีบรุดไปตรวจสอบและปิดถนนไม่ให้รถสัญจรไปมาใกล้เกิดเหตุไฟไหม้เพื่อความสะดวกให้รถดับเพลิงเข้าที่เกิดเหตุได้สะดวก

จากนั้นรถดับเพลิงของเทศบาลนครหาดใหญ่ จำนวน 4 คัน รวมทั้งรถน้ำ รุดเข้าทำการฉีดน้ำสกัดเพลิง และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิท่งเซียเซี่ยงตึ้งหาดใหญ่ จำนวน 6 คันเข้าทำการให้การช่วยเหลือ โดยเพลิงได้ลุกไหม้บ้านสลัมซึ่งสร้างด้วยไม้และสังกะสี จำนวน 2 ชั้น เป็นที่เก็บของเก่า บ้านหลังดังกล่าวไม่มีไฟฟ้าใช้ โดยเจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้เวลาในการดับเพลิงอยู่นานประมาณ 20 นาที ก็สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ ส่วนค่าเสียหายยังไม่สามารถประเมินได้เนื่องจากเป็นของเก่า และขณะเกิดเหตุไม่มีใครอยู่ในบ้าน

เจ้าหน้าที่สันนิฐานว่าอาจจะเกิดจากขยะที่เป็นจำพวกแก้วถูกแสงอาทิตย์หักเหของแสงจนทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะได้เร่งตรวจสอบหาสาเหตุที่แน่นอน และสืบหาเจ้าของบ้านเพื่อดำเนินการต่อไป

สถานการณ์ - ปรากฎการณ์

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจัดสัมมนาทบทวนกฎหมายความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้

@4 ก.ค. 2567 01:21

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนเพื่อทบทวนการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจัดทำข้อเสนอแนะในการบังคับใช้ และการเยียวยาเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ระหว่างวันที่ 3-4 กรกฎาคม 2567 ณ โรงแรมริเวอร์ ปัตตานี ตำบลสะบารัง อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี

วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมกับภาคีเครือข่ายสิทธิมนุษยชนได้แก่ สถาบันพระปกเกล้า สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสภาประชาสังคมชายแดนใต้ จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อทบทวนการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจัดทำข้อเสนอแนะในการบังคับใช้ และการเยียวยาเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ระหว่างวันที่ 3-4 กรกฎาคม 2567 ณ โรงแรมริเวอร์ ปัตตานี ตำบลสะบารัง อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เกี่ยวกับแนวทางการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง ๓ ฉบับ

การดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และพัฒนากระบวนการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมถึงข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ และคำสั่งใด ๆ เสนอต่อคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย เครือข่ายภาคประชาสังคม องค์กรเอกชน ภาควิชาการ สื่อมวลชน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่บังคับใช้กฎหมายความมั่นคง จำนวน 100 คน

โดยการเสวนาในวันพุธที่ 3 กรกฎาคม 2567 ช่วงเช้า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวเปิดการเสวนา และปาฐกถา หัวข้อ “บทบาท กสม. กับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”  ต่อมาเป็นกิจกรรมสันติสนทนา ( Peace Dialogue ) หัวข้อ “บริบทของการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” ภาคบ่ายเป็นกิจกรรม Justice Discussion หัวข้อ กระบวนการยุติธรรมภายใต้การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง และกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

และในวันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม 2567 ช่วงเช้าเป็นกิจกรรม Human Rights Circle หัวข้อ “การเยียวยาความเสียหายผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” ช่วงบ่ายเป็น“กระบวนการรับฟังความคิดเห็น” เพื่อกำหนดพัฒนาและจัดทำข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายความมั่นคง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และช่วงท้ายของการสัมมนาเป็นการกล่าวสรุปและปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ โดย นางสาวศยามล ไกยูรวงศ์  กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจัดสัมมนาทบทวนกฎหมายความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้

@4 ก.ค. 2567 01:21

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนเพื่อทบทวนการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจัดทำข้อเสนอแนะในการบังคับใช้ และการเยียวยาเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ระหว่างวันที่ 3-4 กรกฎาคม 2567 ณ โรงแรมริเวอร์ ปัตตานี ตำบลสะบารัง อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี

วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมกับภาคีเครือข่ายสิทธิมนุษยชนได้แก่ สถาบันพระปกเกล้า สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสภาประชาสังคมชายแดนใต้ จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อทบทวนการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจัดทำข้อเสนอแนะในการบังคับใช้ และการเยียวยาเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ระหว่างวันที่ 3-4 กรกฎาคม 2567 ณ โรงแรมริเวอร์ ปัตตานี ตำบลสะบารัง อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เกี่ยวกับแนวทางการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง ๓ ฉบับ

การดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และพัฒนากระบวนการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมถึงข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ และคำสั่งใด ๆ เสนอต่อคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย เครือข่ายภาคประชาสังคม องค์กรเอกชน ภาควิชาการ สื่อมวลชน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่บังคับใช้กฎหมายความมั่นคง จำนวน 100 คน

โดยการเสวนาในวันพุธที่ 3 กรกฎาคม 2567 ช่วงเช้า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวเปิดการเสวนา และปาฐกถา หัวข้อ “บทบาท กสม. กับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”  ต่อมาเป็นกิจกรรมสันติสนทนา ( Peace Dialogue ) หัวข้อ “บริบทของการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” ภาคบ่ายเป็นกิจกรรม Justice Discussion หัวข้อ กระบวนการยุติธรรมภายใต้การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง และกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

และในวันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม 2567 ช่วงเช้าเป็นกิจกรรม Human Rights Circle หัวข้อ “การเยียวยาความเสียหายผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” ช่วงบ่ายเป็น“กระบวนการรับฟังความคิดเห็น” เพื่อกำหนดพัฒนาและจัดทำข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายความมั่นคง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และช่วงท้ายของการสัมมนาเป็นการกล่าวสรุปและปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ โดย นางสาวศยามล ไกยูรวงศ์  กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

“พิพัฒน์” มุ่งความปลอดภัย อุบัติเหตุเป็นศูนย์ในทุกกิจการภาคใต้ เน้นธุรกิจท่องเที่ยวและสถานบันเทิง

@4 ก.ค. 2567 01:05

“พิพัฒน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาวิชาการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในส่วนภูมิภาค จังหวัดสงขลา ประจำปี 2567 มุ่งความปลอดภัย อุบัติเหตุเป็นศูนย์ในทุกกิจการภาคใต้ เน้นธุรกิจท่องเที่ยวและสถานบันเทิง

วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 เวลา 10.00 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาวิชาการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในส่วนภูมิภาค จังหวัดสงขลา ประจำปี 2567 และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่สถานประกอบกิจการที่ผ่านเกณฑ์พิจารณากิจกรรมการรณรงค์ลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ประจำปี 2567  (Zero Accident Campaign 2024) ภาคใต้ จำนวน 31 รางวัล  โดยมี นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติ นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวต้อนรับ นายบัญชา ศรีธนาอุทัยกร รองผู้อำนวยการ สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ในการจัดงาน หัวหน้าส่วนราชการกระทรวงแรงงานจังหวัดสงขลา ร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม 1 โรงแรมบุรีศรีภู หาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานเปิดงานสัมมนาความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในส่วนภูมิภาค จังหวัดสงขลาในวันนี้ ซึ่งงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติ ที่สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน หรือ สสปท. จัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและส่งเสริมความรู้ต่าง ๆ ให้กับคนทำงานทุกระดับ โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ประกอบด้วยผู้ประกอบการในทุกอุตสาหกรรม อาทิ โรงพยาบาล  สถานประกอบการห้องเย็น และธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ มีจำนวนทั้งสิ้น 250 คน

สีสันสุดว้าว “ทุ่งปอเทือง” เหลืองอร่ามเต็มทุ่งนากลางป่าโตนด

@1 ก.ค. 2567 15:12

สีสัน..สุดว้าว! “ทุ่งปอเทือง” เหลืองอร่ามเต็มทุ่งนากลางป่าโตนดใจกลางตำบลรำแดง อ.สิงหนคร สุดงามตระการตารอให้นักท่องเที่ยวมาเยือน เจ้าของเปิดให้ชมพร้อมเช็คอินฟรี 2 สัปดาห์ก่อนดอกจะร่วงมีให้ชมอีกทีปีหน้า

สีสัน..ที่ หมู่ที่ 7 ต.รำแดง อ.สิงหนคร จ.สงขลา ทุ่งปอเทืองที่กำลังออกดอกเหลืองอร่ามบนพื้นที่กว่า 2 ไร่ เย้ายวนนักท่องเที่ยวต้องแวะเช็คอินชมความงามของปอเทืองที่เหลืองอร่ามปลิวไสวลู่ลม  ขณะที่เจ้าของปลูกต้นปอเทืองไว้เพื่อใช้เป็นพืชปรับสภาพดิน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาได้แวะเซลฟี่อุดหนุนเครื่องดื่มหลากเมนู โดยสถานที่นี้คือ “สวนนายบ้านชัย” หรือ สวนผู้ใหญ่บ้านชัย

นายจักรชัย  สระศรี หรือ ผู้ใหญ่บ้านชัย บอกว่า สถานที่แห่งนี้ตนเองพยายามทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของตำบลรำแดงโดยเริ่มหวานปอเทืองครั้งแรกเมื่อปี 2562เพื่อหวังจะให้เป็นปุ๋ยพืชสดเพื่อลดต้นทุนปุ๋ยเคมีได้อีกทางยามว่างจากฤดูทำนาต่อมาในช่วงโควิดกระแสเริ่มดีเนื่องจากเรามีมุมหลากหลายให้ทุกคนได้เข้ามาเก็บภาพประทับใจและก็ได้ผลพลอยได้คือเราได้จำหน่ายเครื่องดื่ม และในฐานะผู้ใหญ่บ้านก็หวังพื้นที่นี้เป็นศูนย์กลางในการจำหน่ายสินค้าท้องถิ่นเช่น กล้วย ลูกตาล เพื่อหวังให้ชาวบ้านในพื้นที่มีรายได้เลี้ยงชีพด้วย โดยหากกระแสตอบรับดีก็จะขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มให้เหลืองเต็มพื้นที่มากขึ้นไปอีก ตอนนี้เหลือเวลาของดอกปอเทืองแห่งนี้จะบานอีก 2 สัปดาห์ ก็อยากเชิญชวนให้ประชาชนเข้าเช็คอินถ่ายรูปเก็บภาพความประทับใจกันเยอะๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับพวกเราได้มีแรงสร้างความสวยงามให้ทุกท่านอีกในครั้งต่อไป ย้ำว่าเราเปิดให้เข้าชมฟรีไม่คิดค่าเข้าชมแต่อย่างใด หากมาไม่ถูกค้นหาข้อมูลได้ที่เพจเฟสบุ๊ค สวนนายบ้านชัย & ป่าขวาง คอฟฟี่  หรือ โทร 084 1939962

อย่างไรก็ตาม การปลูกปอเทือง นอกจากเราจะปลูกไว้เพื่อประดับตกแต่งทัศนียภาพโดยรอบให้สวยงามแล้ว ปอเทืองยังมีประโยชน์ต่อดิน สามารถไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสด เพื่อใช้ปรับคุณภาพดินได้ ดังนั้นมันจึงเป็นพืชทางเลือกใหม่ในวิกฤตแล้งเช่นนี้ ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ปลูกในทุกด้าน

หัวข้อทั้งหมด

เคียงข่าว - วิเคราะห์

เปิดเบื้องลึกจับ “แป้ง นาโหนด” ขยายผลคดีเรียกค่าไถ่ 3 หนุ่มอินโดนีเซียที่พัทลุง

@30 พ.ค. 2567 20:17

ตำรวจอินโดฯ ขยายผลจากการที่ตำรวจไทยบุกช่วยชาวอินโดฯ ที่ถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ที่ จ.พัทลุง พบความจริงเป็นตัวประกันแก๊งค์ค้ายาติดเงินค่าไอซ์ 2 ล้านบาท ส่งลูกน้องมาเป็นตัวประกันให้ “แป้ง นาโหนด” ขยายผลจนจับตัวได้

วันนี้ (30 พ.ค.) จากกรณีที่มีการจับกุมตัวนักโทษชายเชาวลิต ทองด้วง หรือ “แป้ง นาโหนด” ได้ที่ประเทศอินโดนีเซียนั้น มีรายงานว่า นายเชาวลิตยังคงมีพฤติกรรมค้ายาเสพติดข้ามชาติผ่านกลุ่มค้ายาเสพติดใน จ.พัทลุงและสงขลา มีลูกค้าเป็นชาวอินโดนีเซีย

ล่าสุดเมื่อต้นเดือน พ.ค. แป้ง นาโหนดได้ขายยาเสพติดให้แก็งค์ค้ายา ชาวอินโดนีเซีย ส่งยาไอซ์ล๊อตใหญ่ ให้ แต่พ่อค้าชาวอินโดนีเซียมีปัญหาเงินค่ายาไม่พอ ยังค้างอยู่ 2 ล้านบาท พ่อค้าชาวอินโดนีเซียจึงให้เพื่อนร่วมแก๊งค์ชื่อนายชาวาลาเป็นตัวประกัน โดยมีชาวไทยจาก จ.นราธิวาส 2 คน ทำหน้าที่เป็นล่าม และซัดทอดตำรวจหญิงประจำ บชภ.9 ว่าเป็นคนขับรถมารับคนทั้ง 3 ไปควบคุมตัวไว้ที่บ้านหลังหนึ่ง ใน ต.ท่าแค อ.เมือง จ.พัทลุง

แต่หลังจากที่สมุนของแป้ง นาโหนด ควบคุมตัวนาย ชาวาลา ไว้หลายวัน แก๊งค์ยาเสพติดยังจ่ายเงิน 2 ล้านบาทให้แป้งไม่ได้  นายชาวาลาต้องการให้สมุนของแป้งปล่อยตัว แต่สมุนของแป้งไม่ยอม จึงมีการจัดฉากว่าถูกจับตัวมาเรียกค่าไถ่ และถูกซ้อมทรมานพร้อมทั้งส่งคลิปให้น้องสาว ที่อยู่ในประเทศอินโดนีเซียให้โอนเงิน 2 ล้านบาทมาไถ่ตัว

น้องสาวนายชาวาลา โอนเงินมาเพียง 8 แสนบาท และได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียว่า พี่ชายถูกแก็งค์เรียกค่าไถ่ ที่ จ.พัทลุง จับกุมและซ้อมทรมาน โดยส่งโลเคชั่น สถานที่ควบคุมตัวที่ พัทลุง ให้ตำรวจด้วย ตำรวจอินโดฯ จึงประสานงานกับสถานฑูตอินโดในประเทศไทย และสถานกงสุลใหญ่อินโดฯ ใน จ.สงขลา มีการแจ้งให้ ผบช.ภ.9 พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ดำเนินการช่วยเหลือ ซึ่งตำรวจได้บุกไปช่วยออกมาจากบ้านพี่ของภรรยานายเชาวลิต เมื่อวันที่ 14 พ.ค.

หลังจากที่ตำรวจอินโดนีเซียทราบรายละเอียดถึงสาเหตุการจับตัวชาวอินโดฯ ว่า เป็นแก๊งค์ยาเสพติดข้ามชาติ จึงขยายผล จนพบว่าเกี่ยวพันกับนายเชาวลิต นักโทษที่หลบหนีคดีจากประเทศไทย และมีหมายจับอินเตอร์โพล (หมายแดง) จึงติดตามจับกุมได้ที่เกาะบาหลี ซึ่งนายเชาวลิตเดินทางจากบ้านพักที่เมืองเมดาน ไปท่องเที่ยวยังเกาะบาหลี

หลังจากการจับกุมจึงได้แจ้งให้ทางประเทศไทยให้ทราบ ส่วนจะมีการส่งตัวนายเชาวลิตมาให้ประเทศไทยเมื่อไหร่นั้น ต้องดูว่า อินโดนีเซีย จะดำเนินคดีกับแป้ง ในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองก่อนหรือไม่

เปิดโปงผลประโยชน์เว็บพนันออนไลน์ จาก “มินนี่” สู่เจ๊แหม่มและเสี่ย อ.อ่าง 'หัวเบี้ยมือเก็บส่วย' ที่โด่งดังในวงการตำรวจภาคใต้

@20 ธ.ค. 2566 16:18

โดย.. เมือง ไม้ขม

หลายวันก่อน ตำรวจ PCT จากส่วนกลาง นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ. ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการตำรวจ PCT นำกำลังจู่โจมเข้า ตรวจค้นห้องพักในคอนโดแห่งหนึ่ง พื้นที่เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “บ่อนการพนันออนไลน์” ขนาดใหญ่ในหาดใหญ่ ที่ชื่อว่า “วีนัส มาสเตอร์” (Venus Master) มีสมาชิกถึง 40,000 คน เชื่อมโยงกับเว็บไซต์การพนันออนไลน์ขนาดใหญ่ “betfixroya.com” และเครือข่ายที่เป็นของ “มินนี่” เจ้าแม่บ่อนออนไลน์ชื่อก้องประเทศ โดยในการเข้าทลายบ่อนออนไลน์ ที่เปิดอยู่ในคอนโดครั้งนี้ ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ 36 คน และหนึ่งในนั้นคือ “แหม่ม” ผู้ควบคุมดูแลวีนัส มาสเตอร์ ที่แหล่งข่าวระบุว่า มีเครือข่ายใน จ.สงขลาและใกล้เคียงถึง 700 กว่าสาขา

แหล่งข่าวยังได้เปิดโปงต่อไปว่า “วีนัส มาสเตอร์” ที่ตำรวจ PCT เข้าจับกุมแห่งนี้ ไม่ได้ส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บการพนันที่เป็นของ “นักการเมือง” ใน จ.สงขลา ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ไม่ใช่ของเสี่ย ก. เสี่ย ถ. และเสี่ย ป. แต่เป็นของ “คนมีสี” ที่เป็น “สีกากี” เป็นตำรวจรุ่น 61 ส่วนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “นายตำรวจคนดังของภาคใต้” และลูกน้องทั้ง 8 คน ที่เกี่ยวข้องกับเว็บหวยออนไลน์ของมินนี่หรือไม่ อย่างไร ก็ต้องเสาะหากันเอง

ที่สำคัญ “วีนัส มาสเตอร์” มีสาขาหรือเครือข่ายถึง 700 กว่าแห่ง กระจายอยู่ทั่วเหมือนกัแฟรนไชส์สินค้า ที่มีผู้สนใจเปิดบ่อนการพนันออนไลน์นำไปเปิดในตำบล อำเภอต่างๆ เพื่อเป็นแหล่งทำเงินในการหลอกลวงประชาชนให้เล่นการพนัน

และผู้ที่ถูกระบุว่า เป็น “หัวเบี้ย” หรือ “ผู้ที่เก็บส่วย” ให้หน่วยงานของรัฐ เพื่อมิให้ไปรบกวนแหล่งรับแทงหรือเล่นการพนันออนไลน์ ทั้งหมดคือ “เสี่ย อ.อ่าง” ที่ถูกขนามนามว่าเป็น “หัวเบี้ยอันดับหนึ่ง” ของวงการสีกากีใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นหัวเบี้ย ที่เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของนายตำรวจระดับนายพล จนถึงระดับนายพัน ในระดับกองบังคับการและ “นาย” ใน บชภ.9

มีการระบุว่า การจ่ายส่วยของเครือข่าย “วีนัส มาสเตอร์” ทั้ง 700 กว่าแห่ง ต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้เสี่ย อ อ่างแห่งละ 150,000 บาทต่อเดือน เพื่อไม่ให้ตำรวจและฝ่ายปกครองในพื้นที่เข้าไปจับกุมหรือแวะเวียนไป “รบกวน” ให้ยุ่งยาก เพราะบ่อนออนไลน์ ที่ถูกรบกวนจากเจ้าหน้าที่บ่อยๆ ลูกค้าจะไม่นิยม

วันนี้ “แหม่ม” และผู้ต้องหาทั้ง 36 คน ที่ตำรวจ PCT นำไปสอบสวนยังส่วนกลาง จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์หรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่เท่าที่ทราบ “เสี่ย อ.อ่าง” ผู้เป็นหัวเบี้ยและสาขาของ “วีนัส มาสเตอร์” ยังเปิดให้แทง โดยยังไม่ได้มีการจับกุมจากเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะตำรวจในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีบ่อนออนไลน์ตั้งอยู่ ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เหมือนกับว่า หน้าที่ในการจับกุมบ่อนการพนันออนไลน์เป็นหน้าที่ของตำรวจ PCT เพียงหน่วยเดียว หาใช่เป็นของตำรวจท้องที่และฝ่ายปกครองไม่

ประเด็นสำคัญคือ บ่อนออนไลน์ที่เปิดได้และเล่นได้ โดยไม่ถูกรบกวนจากตำรวจในพื้นที่นั้น ส่วนใหญ่หรือทั้งหมดก็ว่าได้ ต้องมีตำรวจระดับสูง ที่เป็นนายพลและนายพันเข้าไปเกี่ยวข้อง บางเครือข่ายเป็นเจ้าของร่วมกับนายทุน บางเครือข่ายเป็นผู้คุ้มครอง ในฐานะที่เป็นหุ้นลม เพื่อเรียกรับผลประโยชน์

ตัวอย่างของตำรวจ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีและหลบหนี เช่น “สารวัตรซัว” ที่ถูกอายัดทรัพย์ 7,000 ล้านบาท “ผกก.ไบร์ท” ที่ถูกดาราชื่อดังออกมาแฉว่า เป็นเจ้าของบ่อนออนไลน์ จนอื้อฉาวในวงการสีกากี และกลุ่มนายตำรวจ 8 นาย ที่เป็นคนใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่อยู่ระหว่างการถูกกล่าวหาจากตำรวจ PCT ในขณะนี้ และการจับกุมบ่อนพนันออนไลน์ “วีนัส มาสเตอร์” ใน อ.หาดใหญ่ครั้งล่าสุด ก็มีนายตำรวจระดับ พ.ต.ท. ที่เป็นนายตำรวจใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล ถูกกล่าวหา และไปมอบตัว เพื่อขอสู้คดีอยู่ด้วย

ประเด็นที่สังคมสงสัยและต้องการให้ตำรวจ PCT ดำเนินการให้สะเด็ดน้ำคือ กลุ่มผู้เป็นเจ้าของวีนัส มาสเตอร์ ที่มีข่าวว่า เป็นของตำรวจรุ่น 61 นั้นเป็นใคร และตำรวจ PCT ต้องสาวให้ถึง เพื่อเอามาเป็นผู้ต้องหา เพราะผู้ต้องหาทั้ง 36 คนที่จับได้ เป็นเพียงปลายแถว ที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานรับแทงในบ่อนเท่านั้น อีกทั้ง “แหม่ม” สาวใหญ่ ที่เป็นผู้ดูแลและถูกกวาดต้อน แม้จะเป็นคนสำคัญในวีนัส มาสเตอร์ แต่ก็ไม่ใช่ตัวการใหญ่

รวมทั้ง คนสำคัญอย่าง “เสี่ย อ.อ่าง” ผู้ที่รู้เรื่องการจ่ายส่วย ที่เก็บจาก “วีนัส มาสเตอร์” และเครือข่าย 700 กว่าแห่ง เดือนละกว่า 10 ล้านบาท ก็ยังไม่ถูกจับกุม ซึ่งหาก “เสี่ย อ.อ่าง” กลายเป็นผู้ต้องหาด้วย อย่างน้อย ถ้าตำรวจ PCT ทำให้คายความจริงออกมาได้ ก็จะได้รู้ว่า ตำรวจระดับ “นายพล” จนถึง ”นายพัน” ที่เป็นผู้บังคับหน่วยในพื้นที่มีการรับส่วยจากวีนัส มาสเตอร์ และเครือข่าย เดือนละเท่าไหร่

สุดท้าย “หาดใหญ่” และอำเภออื่นๆ ของจังหวัดสงขลา คือแหล่งการพนันออนไลน์ ที่เป็นแหล่งอบายมุขที่ใหญ่โต ไม่แพ้ จ.นครศรีธรรมราช สุราษฎรธานี ภูเก็ต และอื่นๆ เป็นที่หลอกลวงให้ผู้คนหลงใหลในอบายมุขจนหมดเนื้อหมดตัว หมออนาคต ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และเยาวชน เพื่อทำเงินให้กลุ่มตำรวจ ที่อยู่เบื้องหลัง

และนี่สำคัญ หาดใหญ่ สงขลา ไม่ได้มีแค่ “วีนัส มาสเตอร์” ที่เพิ่งถูกทลายห้าง แต่ยังมีบ่อนการพนันออนไลน์อีกมากมาย ที่เป็นดอกเห็ด ทั้งของ เสี่ย ถ. เสี่ย ก. เสี่ย ป. และอีกหลายๆ เสี่ย ซึ่งหลายคนเดินอยู่ในสภาฯ ในฐานะของผู้ทรงเกียรติรวมอยู่ด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มหึมาของสังคมไทย ที่หน่วยงานในพื้นที่ต้องช่วยกันปัดกวาด เพราะนี้คือขยะสังคม คือปัญหาสังคมของจังหวัดสงขลา เป็นเรื่องที่ “สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญให้มากกว่าเรื่องจัดระเบียบจราจร ที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ เพราะนั่นเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ที่นายอำเภอกับเทศบาลก็จัดการได้ ทำเรื่อง “บ่อนออนไลน์” ให้สำเร็จ รับรองว่า ชาวสงขลาจะปรบมือให้ท่านสนั่นเมืองแน่นอน

โฆษกพรรคประชาชาติ ชี้แจงเหตุมีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

@7 ก.ย. 2566 10:10

สส.กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ โฆษกพรรคประชาชาติ ชี้แจงเหตุมีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวานนี้

โดยมีการชี้แจงดังนี้

เรียนพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน ผม นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ในนามโฆษกพรรคประชาชาติ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 7 ท่าน ของพรรคประชาชาติ เรามาแถลงข่าววันนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ วันที่ 5 กันยายน 2566 มีท่านณฐพร โตประยูร ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ดำเนินการยุบพรรคประชาชาติ โดยอาศัยอ้างเหตุพฤติการณ์ว่าพรรคประชาชาติมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองโดยเอาเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 จากกรณีที่ขบวนการนักศึกษาปัตตานีทำเวทีประชามติที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินท์ ปัตตานี มอ.ปัตตานี ว่า ให้มีการทำประชามติแบ่งแยกดินแดน แล้วก็อ้างว่าพรรคประชาชาติ มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเป็นที่มาว่าการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กระทำไม่ได้ แล้วอ้างเหตุทำนองลักษณะว่าพรรคประชาชาติ เรามีส่วนเกี่ยวข้องการจัดทำประชามติในครั้งนั้น

ประเด็นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2566 ภายหลังที่มีเวทีการทำประชามติตั้งแต่นั้น ก็ปรากฏข่าวตามสื่อมวลชนมาโดยตลอด และทางพรรคก็ได้ชี้แจงมาโดยตลอดเช่นกัน ในส่วนข้อเท็จจริงที่พยายามโยงให้พรรคประชาชาติต้องการที่จะยุบพรรคประชาชาติ ในขณะนั้น เราเข้าใจว่าวันนี้เรื่องเหล่านี้น่าจะเป็นที่เข้าใจว่าประชาชาติเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรม แล้วก็ชี้แจงอย่างนี้มาโดยตลอด แต่อยู่ดีๆเมื่อวานมีคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เท่าที่ติดตามข่าว คุณณฐพร เขาไปยื่นต่ออัยการก่อน ตามมาตรา 49 ตามรัฐธรรมนูญปี 60 พออัยการไม่รับพิจารณาภายใน 15 วัน จึงได้ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรค

กรณีนี้หลังเกิดเหตุ เราไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการชี้แจงต่อฝ่ายสืบสวนสอบสวนคณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้อเท็จจริงเนื่องจากว่าการจัดกิจกรรมเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 ของขบวนการนักศึกษา พรรคประชาชาติขอย้ำว่า เราไม่ได้เป็นผู้ร่วมจัดกิจกรรม พูดง่ายๆก็คือ  เราไม่ได้เป็นเจ้าภาพในการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพียงแต่ว่าการจัดกิจกรรมนักศึกษา เขาได้มีหนังสือเชิญถึงพรรคประชาชาติให้ไปร่วมเป็นวิทยากรในช่วงบ่าย ทางพรรคก็ได้มีหนังสือให้ทาง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่เขตอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี คือท่าน ดร.วรวิทย์ บารู ในฐานะที่เป็นอดีตรองอธิการ มอ.ปัตตานี แล้วก็เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขต อำเภอเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มอ.ปัตตานี ไปร่วมเป็นวิทยากรในช่วงบ่าย ส่วนการทำประชามติในวันนั้น เป็นการทำประชามติในช่วงเช้า ช่วงบ่ายหัวข้อที่พูดบนเวทีก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดน

ด้วยพฤติการทั้งหมด เราขอยืนยันว่า เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำกิจกรรม หนังสือเชิญหลักฐานต่างๆ เราพร้อมที่จะชี้แจง ก่อนหน้านี้ที่ผมได้เรียนตั้งแต่ต้นว่า เราได้ชี้แจงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งไปทั้งหมดแล้ว พรรคประชาชาติขอยืนยันว่าตลอดระยะเวลาการจัดตั้งพรรคประชาชาติขึ้นมาตลอดระยะเวลาหลายปี เรายืนยันมาโดยตลอดว่าเราดำเนินการ ถึงแม้ว่าเราอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่ๆมีความล่อแหลมในมิติของความมั่นคง แต่การดำเนินกิจกรรมต่างๆ การทำงานในฐานะพรรคฝ่ายค้านตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เราดำเนินการกิจกรรมทางการเมืองทำงานการเมืองเพื่อพี่น้องประชาชนภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ 2560 นั้นก็คือ เราส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติย์ทรงเป็นประมุข หากคำร้องที่ทางฝ่าย คุณ ณฐพร ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญรับไว้หลังจากนี้ เราพร้อมที่จะชี้แจงว่าเราไม่ได้มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองตามที่ถูกกล่าวหา กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ โฆษกพรรคประชาชาติ กล่าว

สส.วรวิทย์ บารู ชี้แจงประเด็น

ผมมีสองสามประเด็นที่จะแจ้งให้พี่น้องสื่อมวลชนได้ทราบ ประเด็นที่หนึ่งก็คือเราได้รับเชิญจากผู้จัดให้ไปเป็นวิทยากรร่วมเสวนากับวิทยากรอีกสองสามท่านเราไปในลักษณะที่เป็นวิทยากรโดยไปในช่วงเวลาที่ใกล้ถึงเวลาของเราเกือบจะสิ้นสุดปลายแล้วน่ะครับ แล้วก็ประเด็นที่สอง หัวข้อที่ไปพูดเป็นหัวข้อ “self determination “ น่ะครับ ก็คือการ… ตนเอง น่ะครับ การ self determination ก็พูดในกรอบนี้แล้วก็ในพรรคของเราเองเนื่องว่าเป็นพรรคซึ่งแม้ว่าเราอยู่ที่นั่นเหมือนที่โฆษกเราได้พูดไป แล้วก็สมาชิกเรามีทั่วประเทศไม่ใช่เฉพาะในกลุ่มนับถือศาสนาอิสลามอย่างเดียว แล้วก็มีทางด้านฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต. อยากทราบข้อมูลรายละเอียด ผมก็เดินทางไปให้ข้อมูล ณ กกต. จังหวัดปัตตานีน่ะครับ และไม่เคยได้รับการเชิญหรือเรียกตัวจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจน่ะครับ เพราะฉะนั้นในเรื่องเหล่านี้ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องซึ่งเป็นวิชาการที่ผมไปพูด ก่อนหน้าผม เป็นอาจารย์มารค ตามไทยซึ่งพูดในประเด็นเนื้อหาวิชาการที่เกี่ยวข้องกับ self determination น่ะครับ จึงไม่มีเหตุผลใดๆที่จะเป็นเรื่องที่เราไปรับรู้ถึงการกระทำหรือว่าอะไรจะไปพูดที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดนซึ่ง เพราะ self determination เป็นองค์ความรู้หนึ่งที่ผู้เรียนรู้ ผู้ที่เรียนรู้ทำหน้าที่ในเรื่องของผู้ที่ทำหน้าที่ความมั่นคงก็ต้องเรียนสิ่งเหล่านี้และผู้ที่ใฝ่หาสันติวิธีก็ต้องเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้เช่นกันครับ

**ตอบคำถามผู้สื่อข่าวครับ **

ผู้สื่อข่าวถาม : ดูแล้ว มีความเสี่ยงที่จะถูกยุบพรรคพร้อมจะชี้แจงด้วยข้อกฎหมายใด

โฆษกตอบ : คือตอนนี้ทางพรรคทราบเพียงตามข่าวที่คุณ ณฐพร ได้ยื่นเมื่อวานน่ะครับ ในส่วนโดยสรุปพฤติการณ์ในการที่อ้างเหตุว่าเรามีเจตนาล้มล้างการปกครองโดยสรุปแค่นั้นเอง ส่วนในรายละเอียดน่ะครับ ที่เขาอ้างในคำฟ้องซึ่งผมทราบว่ามี 30 กว่าหน้า มีพฤติการณ์อะไรบ้าง ตรงนั้นเราพร้อมที่จะชี้แจง แล้วก็มั่นใจว่าการดำเนินการของพรรคเรากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เราไม่ได้ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ พร้อมที่จะชี้แจงครับ

ผู้สื่อข่าวถาม :  ในเหตุการณ์ มีตัวแทนของพรรคการเมืองหลายพรรคด้วยก็จะเป็นบรรทัดฐานเดียวกันกับพรรคอื่นไหมครับว่าเป็นแค่การไปร่วมเสวนา

โฆษกตอบ : เท่าที่ผมทราบว่าวันนั้น ก็มีตัวแทนของพรรคเป็นธรรม แล้วก็ส่วนก้าวไกลก็ได้รับเชิญ แต่ไม่ได้ไป แล้วก็มีตัวเเทนของพรรคประชาชาติเราที่ไปด้วย โดยสรุปที่ไปวันนั้นก็คือมี 2 พรรค ครับ ส่วนการอ้างเหตุของแต่ละพรรคที่จะยุบพรรคด้วยเหตุการณ์ของวันนั้นของฝ่ายคุณ ณฐพร อ้างเหตุพฤติการณ์อะไร ขอดูคำฟ้องที่เขาฟ้อง ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับ เขาส่งมาให้พรรคชี้แจง เราพร้อมชี้แจงครับ

ผู้สื่อข่าวถาม : มีความกังวลไหมครับ

โฆษกตอบ : ไม่ได้กังวลครับ เรามั่นใจในการทำงานของพรรคเรามาโดยตลอดระยะเวลา 4-5 ปี เพราะว่า ผมมองว่าประเด็นเหล่านี้เราไม่ทราบว่าโดยเจตนาที่แท้จริงของคนที่ร้องมีเจตนาอย่างไร แต่ว่า ที่จะกล่าวหาใครว่าต้องการล้มล้างการปกครองเนี่ย ผมว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงเจตนาพิเศษอย่างแท้จริงน่ะครับ เรายืนยันมาโดยตลอดครับว่า พรรคเราไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคคนเดิม วันมูหะมัดนอร์ มะทา ก็อยู่ในวงการการเมืองมานาน 40 กว่าปี ก็อยู่ในระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด แล้วก็ 4 ปีที่เราทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เราก็อยู่เคียงข้างประชาชน ไม่ได้มีส่อเจตนาอื่นเลยนะครับ ว่าเราจะมีการล้มล้างการปกครองขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ครับ

ผู้สื่อข่าวถาม : มองเป็นเรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมืองไหมครับ

โฆษกตอบ : ผมไม่สามารถที่คาดเดาได้ว่าเจตนาที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่ว่า ถ้าดูพฤติการณ์ปกติที่เราดำเนินการวันที่ 7 มิถุนายน ในช่วงบ่าย เราถือว่าเราดำเนินการเป็นปกติในฐานะพรรคการเมืองครับ ขอบคุณมากครับ

“เศรษฐา” จ่อมอบ “ทวี” รับภารกิจดับไฟใต้ ปรับทิศทาง ศอ.บต.

@4 ก.ย. 2566 19:11

หากนับเฉพาะสายงานความมั่นคง ไม่เพียงแค่ “รัฐมนตรีกลาโหม” ที่ถูกตั้งคำถามว่า “ผิดฝาผิดตัว” หรือไม่ แต่ “รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง” จะเป็นใคร ดูจะคาดเดายาก ทั้งๆ ที่รองนายกฯคนนี้จะรับผิดชอบภารกิจแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยืดเยื้อมาร่วม 2 ทศวรรษด้วย และต้นปีหน้าจะเป็นวาระครบรอบ 20 ปีไฟใต้ แต่สถานการณ์ความรุนแรงก็ยังไม่คลี่คลาย แถมโหมกระหน่ำหนักในบางช่วงเวลาเสียด้วยซ้ำ ดังเช่นเหตุโจมตีชุดลาดตระเวนร่วม “ตำรวจ-อส.” ที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เมื่อกลางดึกของวันที่ 28 ส.ค.66 ทำให้กำลังพลพลีชีพถึง 4 นาย บาดเจ็บอีกนับสิบ

มีรายงานว่า นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ให้ความสนใจงานดับไฟใต้ไม่น้อย และได้หารือนอกรอบกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ ซึ่งพรรคการเมืองนี้ครองความนิยมสูงสุดในดินแดนปลายด้ามขวาน ได้ สส.มาถึง 7 คนจาก 13 คน เรียกว่าเกินครึ่ง และคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ยังเป็นอันดับ 1 ทุกเขต ทำให้ได้ สส.แบบบัญชีรายชื่อมาเติมอีก 2 คน

แหล่งข่าวในรัฐบาลยืนยันว่า นายกฯ เศรษฐา อาจใช้อำนาจออกคำสั่งมอบหมายงานกำกับดูแลศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ให้กับ พ.ต.อ.ทวี รวมทั้งงานด้านการพัฒนาพื้นที่, งานพูดคุยเพื่อสันติสุขกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ซึ่งมีแนวโน้มจะเปลี่ยนชื่อเป็น “โต๊ะพูดคุยสันติภาพ” แต่งาน กอ.รมน. หรือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร นายกฯ เศรษฐา อาจดึงไว้กำกับดูแลเอง

มีรายงานว่า เลขาธิการ ศอ.บต.คนใหม่ จะเป็นคนจากส่วนกลางซึ่งมีประสบการณ์สูง ผ่านงานระดับอธิบดีมาหลายกรม โดยตำแหน่งเลขาธิการ ศอ.บต. อยู่ในระดับ 11 หรือ “ซี 11” เท่ากับปลัดกระทรวง

เล็งปรับภารกิจ ศอ.บต. - ฟื้นสภาที่ปรึกษาฯ

พ.ต.อ.ทวี เปิดเผยเรื่องนี้ ว่า แผนงานในรายละเอียดต่างๆ คงต้องรอสัญญาณจากนายกฯเศรษฐา แต่หากได้รับผิดชอบกำกับดูแล ศอ.บต. ตนจะปรับภารกิจให้เน้นงานด้านพัฒนาเป็นหลัก แต่ต้องไม่ทำเอง ไม่เป็นหน่วย operation แต่จะเน้นควบคุม กำกับ ดูแล และประสานงานแบบบูรณาการ โดยงานที่จะทิ้งไปไม่ได้คือ “ความยุติธรรม” เพราะเป็นจุดเด่นที่สุดของหน่วยงาน ศอ.บต.

นอกจากนี้ จะมีการรื้อฟื้น “สภาที่ปรึกษา ศอ.บต.” ขึ้นมา เพราะพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 หรือ พ.ร.บ.ศอ.บต. เขียนไว้ดีมาก โดยสภาที่ปรึกษาฯ มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้นำศาสนา ตัวแทนคนพุทธ คนมุสลิม รวมไปถึงภาคประชาชน เอ็นจีโอ และนักสิทธิมนุษยชน แต่ที่ผ่านมา คสช.ไปออกคำสั่งปลดสมาชิกสภาที่ปรึกษาชุดเดิม แล้วไปคัดเลือกใหม่ เปลี่ยนโครงสร้างใหม่ โดยให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เข้ามามีบทบาท ทำให้ไม่เป็นตัวแทนจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง

ศอ.บต.โดนร้องอื้อ ต้นเหตุแนวคิด “ปรับภารกิจ”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ผ่านมา ศอ.บต.ทำงานด้านการพัฒนา โดยใช้วิธีลงมือทำเอง เปิดประกวดราคา และจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษด้วยตัวเอง ทำให้หลายๆ โครงการมีปัญหาถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส เพราะพื้นที่ชายแดนใต้ใช้การจัดจ้างวิธีพิเศษ ไม่ต้องประกวดราคา ตามข้อยกเว้นของกรมบัญชีกลาง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาความมั่นคง

การจัดซื้อจัดจ้างหลายๆ โครงการไม่ต้องเปิดประมูล แต่ใช้วิธีจัดจ้างวิธีพิเศษแบบเฉพาะเจาะจง แต่ผลที่ตามมากลับเป็นในด้านลบ เพราะบางโครงการถูกตรวจสอบจากหลายฝ่ายเนื่องจากเข้าข่ายทุจริต ไม่โปร่งใส หรือตัดสินใจทำโครงการโดยไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมเท่าที่ควร

โครงการที่มีปัญหาจนถูกสั่งยุติกลางคันก็เช่น ตู้กรองน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ราคาตู้ละกว่า 5 แสนบาท แพงกว่ารถยนต์อีโคคาร์ 1 คันเสียอีก, เสาไฟส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ ”เสาไฟโซลาร์เซลล์” งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท มีการตั้งคณะกรรมการจากส่วนกลางไปตรวจสอบและพบว่ามีปัญหาจริง กระทั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดข้าราชการระดับสูง หรือแม้แต่โครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลในพื้นที่ ก็มีปัญหาอย่างมาก หลายแห่งไม่มีใครเข้าไปเล่นฟุตซอล กลายเป็นสนามเลี้ยงวัว

ยังไม่นับการผลักดันโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ หรือ “เมกะโปรเจก” ที่กลายเป็นความขัดแย้งระดับพื้นที่ เช่น โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” อ.จะนะ จ.สงขลา ที่มีม็อบบุกทำเนียบรัฐบาลหลายครั้งในห้วงหลายปีที่ผ่านมา

ลุยแก้หนี้-ปฏิรูปคุก-ปราบยา-เจรจาดับไฟใต้

พ.ต.อ.ทวี ยังบอกถึงนโยบายที่จะทำในฐานะ รมว.ยุติธรรมป้ายแดง ว่า ต้องทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะระยะหลังๆ มีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น ขณะเดียวกันก็มีนโยบายแก้ “หนี้ที่ไม่เป็นธรรม” ซึ่งมีคณะกรรมการที่รับผิดชอบเรื่องนี้อยู่ในกระทรวงยุติธรรม และยังมีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่าง “กรมบังคับคดี” อยู่ในโครงสร้างของกระทรวงด้วย

สำหรับ “หนี้ที่ไม่เป็นธรรม” ซึ่งกำลังมีปัญหาอย่างมาก ก็เช่น หนี้ กยศ. หรือกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ซึ่งมีการแก้ไขกฎหมายใหม่ มีผลบังคับใช้แล้ว ให้ลดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ แต่ทาง กยศ.ก็ยังไม่ออกระเบียบมารองรับตามกฎหมายใหม่ ยังคงคิดอัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับในอัตราเดิม ทำให้ผู้กู้เดือดร้อน ทั้งๆ ที่ผู้กู้เป็นคนขยัน ใฝ่เรียน สมควรสนับสนุน ไม่ใช่ถูกบังคับให้เป็นหนี้

ในส่วนของกรมราชทัณฑ์ กรมที่ได้รับจัดสรรงบประมาณมากที่สุดของกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ทวี บอกว่า มีแผนศึกษาเรื่องแยกกลุ่มผู้ต้องขัง ไม่ให้ขังรวมกันจำนวนมาก โดยไม่แยะประเภทของนักโทษ เช่น ผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างพิจารณาคดี คือคดียังไม่เสร็จสิ้น ยังไม่ใช่ “นักโทษเด็ดขาด” กลุ่มนี้ต้องแยกขัง ไม่ควรขังรวมกับนักโทษเด็ดขาด อาจมีโครงการใช้พื้นที่เอกชนเป็นสถานที่คุมขัง ให้นอนรวมกันแค่ 3-4 คน ไม่ใช่นอนกันเป็นร้อยเหมือนในเรือนจำ และมีอาหารให้รับประทาน โดยให้กรมราชทัณฑ์เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน เพราะตามรัฐธรรมนูญแล้ว คนกลุ่มนี้ยังไม่ถือว่ามีความผิด จึงต้องไม่ปฏิบัติกับเขาเสมือนหนึ่งเป็นผู้กระทำความผิด

อีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในหน้างานของกระทรวงยุติธรรมเช่นกัน ก็คือ งานปราบปรามยาเสพติด เพราะสำนักงาน ป.ป.ส.เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงตาชั่ง พ.ต.อ.ทวี บอกว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดต้องเห็นผลถึงระดับชุมชน หมู่บ้าน ทุกอย่างต้องมีตัวชี้วัดให้ได้ เพราะที่ผ่านมาประชาชนเดือดร้อนมาก และร้องเรียนเข้ามามากว่ายาเสพติดระบาดหนักจริงๆ

นอกจากนั้นยังมีแนวคิด “ยืมตัว” นายตำรวจที่เก่งงานด้านปราบปราม มารับผิดชอบงานที่สำนักงาน ป.ป.ส. เพื่อให้งานปราบยาเสพติดประสบผลสำเร็จมากขึ้นด้วย

ส่วนงานพูดคุยสันติภาพดับไฟใต้ พ.ต.อ.ทวี ซึ่งเคยเป็นแกนนำคณะพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นเมื่อปี 2556 ในรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บอกว่า ต้องรื้อกระบวนการพูดคุยใหม่ โดยตั้งประเด็นขึ้นมาให้ชัดเลย อาจจะมี 4-5 ประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการบริหารการปกครอง แล้วดึงทุกฝ่ายมาร่วมหารือ เพื่อตกผลึกให้ได้ในแต่ละประเด็น เนื่องจากใช้วิธีพูดคุยภาพรวมเหมือนที่ผ่านมา ไม่มีความคืบหน้า และไม่มีประเด็นไหนที่เห็นผลเป็นรูปธรรมนำร่องได้เลย

หัวข้อทั้งหมด

ผู้คน - สังคม

ปตท.สผ.ผนึกจิตอาสาปลูกต้นไม้ฉลองครบรอบ 39 ปี

@21 มิ.ย. 2567 15:32

ปตท.สผ. รวมพลังพนักงานจิตอาสา ฐานสนับสนุนการพัฒนาปิโตรเลียม สงขลา ร่วมปลูกต้นไม้กว่า 1,000 ต้น เนื่องในโอกาสครบรอบ 39 ปี ปตท.สผ. บริเวณพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ใกล้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก บ้านทะเลนอก ต.หัวเขา อ.สิงหนคร จ.สงขลา

เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.67  ที่ อ.สิงหนคร จ.สงขลา นายนพดล สุระสังวาล นายอำเภอสิงหนคร นายกอง จันทร์สว่าง นายกเทศมนตรีเมืองสิงหนคร นายสมชาย  สุริยะ อิหม่าม มัสยิดหัวสนอ่อน พร้อม พนักงานจิตอาสา ปตท.สผ. ฐานสนับสนุนการพัฒนาปิโตรเลียม สงขลา กว่า 120 ชีวิต ร่วมแสดงพลัง จัดกิจกรรม “เพาะ” ความสุข “ปลูก” ความยั่งยืน พร้อมกับพนักงาน ปตท.สผ.ในพื้นที่ปฏิบัติการทั่วประเทศ เนื่องในโอกาสครบรอบ 39 ปี ปตท.สผ.  โดยร่วมกันปลูกต้นไม้กว่า 1,000 ต้น บริเวณพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ใกล้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก บ้านทะเลนอก ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา  เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว ดูดซับก๊าซเรือนกระจกและช่วยลดภาวะโลกร้อน  ส่งต่อความยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมแก่ชุมชนในพื้นที่ปฏิบัติการ  เนื่องในโอกาสครบรอบ 39 ปี ปตท.สผ.

นายบัญชา ฉิมตระกูล ผู้จัดการฐานแผนกสนับสนุน สงขลา บริษัท ปตทสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด กล่าวว่า กิจกรรม From We to World Planting Day 2024 “เพาะ” ความสุข “ปลูก” ความยั่งยืน เนื่องในโอกาสครบรอบ 39 ปี ปตท.สผ.  โดยร่วมกันปลูกต้นไม้กว่า 1,000 ต้น บริเวณพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ใกล้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก บ้านทะเลนอก ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา  เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว ดูดซับก๊าซเรือนกระจกและช่วยลดภาวะโลกร้อน  ส่งต่อความยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมแก่ชุมชนในพื้นที่ปฏิบัติการ  เนื่องในโอกาสครบรอบ 39 ปี ปตท.สผ.

ประกาศจากมูลนิธิมิตรภาพสามัคคี (ท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง) หาดใหญ่ เรื่อง ขอเชิญร่วมงานมหากุศล ล้างป่าช้า เก็บกระดูก ครั้งที่ 7

@8 มิ.ย. 2567 11:20

ด้วยมูลนิธิมิตรภาพสามัคคี (ท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง) หาดใหญ่ กําหนดให้มีพิธีล้างป่าช้า เก็บกระดูก ครั้งที่ 7 ในระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน 2567 จนถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2567 เนื่องจากทางมูลนิธิฯ ได้ดําเนินการรับศพที่ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดแสดงตนว่าเป็นญาติ มาทําพิธีกรรม ทางศาสนาและฝังไว้ในสุสานของทางมูลนิธิฯ เป็นจํานวนมาก เป็นเหตุให้ไม่มีพื้นที่เพียงพอสําหรับ การดําเนินการดังกล่าวในอนาคต

มูลนิธิมิตรภาพสามัคคี (ท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง) หาดใหญ่ จึงมีความประสงค์ประกอบพิธีล้างป่าช้า เก็บกระดูก เพื่อนํากระดูกของศพในข้างต้นมาประกอบพิธีกรรม และน้อมส่งวิญญาณเหล่านั้นไปสู่สัมปรายภพตามความเชื่อในทางศาสนาต่อไป

ในการนี้มูลนิธิมิตรภาพสามัคคี (ท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง) หาดใหญ่ จึงใคร่ขอเชิญทุกท่าน เข้าร่วมงานมหากุศลครั้งนี้ โดยท่านสามารถร่วมแรงร่วมใจ ด้วยการขุด ล้างกระดูกหรือสนับสนุน ปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงร่วมเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมในพิธีล้างป่าช้า เก็บกระดูก ครั้งที่ 7 รายละเอียดสอบถามได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 074-350622

อนึ่งหากท่านใดมีความประสงค์จะขุดกระดูกบรรพชนของท่าน เพื่อนํามาบําเพ็ญกุศลร่วม ในงานครั้งนี้สามารถแจ้งความจํานงได้ที่ สํานักงานมูลนิธิมิตรภาพสามัคคี (ท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง) หาดใหญ่ ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป

**ประกาศ ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2567 คณะกรรมการบริหารมูลนิธิมิตรภาพสามัคคี (ท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง) หาดใหญ่ **

หัวข้อทั้งหมด

ทัศนะ - สนทนา

รัฐบาลและกองทัพควรนำกระเช้าไปกราบขอบคุณผู้นำบีอาร์เอ็น?!

@14 มิ.ย. 2567 09:29

ทัศนะ : ไชยยงค์ มณีพิลึก

ระหว่าง 11-13 มิถุนายน 2567 ที่ “ทูตานุทูต” จาก 12 ประเทศมุสลิมเดินทางเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเตรียมแผนป้องกันได้ดีมาก ไม่มีเหตุร้ายให้นำไปวิพากษ์วิจารณ์ แถมยังสยบความคิดว่ามีการ “ขัดแย้งด้วยอาวุธ” อันเป็นไปตามรัฐบาลแถลงว่าไฟใต้คงจะยุติลงได้ในอีกไม่นาน
นี่ถ้าทำให้เหตุร้ายในชายแดนใต้สงบลงได้อย่างนี้ตลอดไป น่าจะเป็นข่าวดีที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษของไฟใต้ระลอกใหม่เลยทีเดียว แต่ก็เชื่อกันว่าหลังคณะทูตานุทูตประเทศมุสลิมกลับไป ความรุนแรงน่าจะหวนกลับมาเหมือนเดิม โดยเฉพาะก่อนถึง “ตรุษอีดิ้ลอัฎฮา” หรือ “วันรายอฮัจยี” วันที่ 17 มิถุนายน 2567 นี้
แต่ก็มีเหตุการณ์ที่เกิดจากฝีมือแนวร่วมบีอาร์เอ็นในชายแดนใต้ที่มักเกิดขึ้นแบบถูกที่ถูกเวลา นั่นคือ “มหกรรมแขวนป้ายผ้า” และ “พ่นสีถนน” แบบเต็มพิกัด อันเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อแสดงสัญลักษณ์กล่าวหารัฐไทยว่า ไม่มีความจริงใจต่อกระบวนการสันติภาพ ปรากฏการณ์นี้เกิดก่อนคณะทูตานุทูตเดินทางมาเพียง 2 วัน หรือคืนเชื่อมต่อระหว่างวันที่ 8-9 มิถุนายนที่ผ่านมา
ปรากฏการณ์นี้ยึดโยงไปยัง “กระบวนการพูดคุยสันติสุข” ของคณะกรรมการฝ่ายเทคนิค ที่พบปะพูดคุยกันมาแล้ว 2 ครั้งหลังเวทีพูดคุยสันติสุขคณะใหญ่ผ่านไป แต่การพูดคุยของคณะกรรมการฝ่ายเทคนิคก็ไม่มีความคืบหน้าตามกรอบข้อตกลง (JCPP) ที่กำหนดขึ้นจากทั้ง 2 ฝ่าย
บางข้อความบนป้ายผ้าที่ปรากฏตามสถานที่ต่างๆ นอกจากโจมตีเรื่องความไม่จริงใจในการพูดคุยสันติภาพแล้ว ยังมุ่งโจมตีกรณีหน่วยงานรัฐให้ “กลุ่มทุน” เข้าไปกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทำ “เหมืองแร่” และ “เหมืองหิน” ที่ปัตตานีและนราธิวาส ซึ่งมีเอ็นจีโอและประชาชนคัดค้านมาโดยตลอด
ถือเป็นความชาญฉลาดของบีอาร์เอ็น ที่ทำให้เห็นว่า ยืนเคียงข้าง “มวลชน” ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายรัฐก็จะถูกแปรให้เป็น “แนวร่วมมุมกลับ” เพื่อเสริมสร้างความเติบโตให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนไปทันที
ดังนั้นแค่ปฏิบัติการแขวนป้ายผ้าของแนวร่วมบีอาร์เอ็นจึงเป็นการทำสงครามจิตวิทยาที่ “ลงทุนน้อย” แต่กลับ “ได้ผลมากมาย” ซึ่งประเมินผลได้ดังนี้
1.ไม่ต้อง “ออกแถลงการณ์” เป็นลายลักษณ์อักษรสาธยายถึงความล้มเหลวของกระบวนการพูดคุยของคณะกรรมการฝ่ายเทคนิค เพราะอาจจะไม่ได้รับความสนใจจากสื่อเหมือนกับการแขวนป้ายผ้าที่ได้กลายเป็น “ข่าวใหญ่” อย่างเต็มพิกัดไปแล้ว
2.“สื่อตรง” ไปยังทูตานุทูตของทั้ง 12 ประเทศมุสลิมที่เพิ่งเดินทางมาเยือนชายแดนใต้ เพราะข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกแล้ว
3.ปฏิบัติการแขวนป้ายผ้าของบีอาร์เอ็นเป็นเหมือน “ปลายหอก” ที่ปักเข้า “ยอดอก” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าอย่างจังเบอร์
มีคำถามจากคนในพื้นที่ โดยเฉพาะชาวไทยพุทธและคนไทยเชื้อสายจีนคือ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง รวมถึงกองกำลังท้องถิ่นที่มีรวมๆ กันแล้วไม่น้อยกว่า 50,000 ชีวิต ทำไมไม่มีใครทราบความเคลื่อนไหวหรือระแคะระคายมาก่อนบ้าง
ทั้งที่ปฏิบัติการแขวนป้ายผ้าและพ่นสีถนนเกิดขึ้นในบริเวณตัวเมือง หรือในเขตเทศบาล รวมถึงตามทางหลวงสายหลัก ทำไมปล่อยให้เกิดเหตุได้ง่ายดายนัก อันเป็นเหมือนกับคำร่ำลือของประชาชนในพื้นที่ที่ว่า “เวลากลางวันเป็นของเจ้าหน้าที่ ส่วนกลางคืนเป็นเวลาของโจร”
อย่างไรก็ตามคงต้องเห็นใจตำรวจ ทหาร และกองกำลังท้องถิ่นอย่าง อส.และ ชรบ. เพราะอย่าว่าแต่กลางคืนที่ไม่กล้าออกจากฐานปฏิบัติการเลย แม้แต่กลางวันที่ออกจากฐานไปปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน รักษาความปลอดภัยพระและครูก็ยังถูกโจมตีทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย
แต่สำหรับเจ้าหน้าที่อย่าบอกนะว่า ปฏิบัติการแขวนป้ายผ้าและพ่นสีถนนเที่ยวล่าสุดเป็นพวก “นักรบหน้าขาว” ที่เพิ่งผ่านการบ่มเพาะเข้าสู่ขบวนการ ซึ่งเป็นผลให้เจ้าหน้าที่ไม่มีข้อมูลและยากต่อการป้องกัน เนื่องเพราะมีหลักฐานทนโท่จาก 2 ผู้ถูกจับกุมได้ที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานีว่า เคยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง
ดังนั้นปฏิบัติการของ “แนวร่วมซ้ำซาก” ที่เกิดขึ้นจึงเข้าทางทั้งฝ่ายบีอาร์เอ็นและคนในพื้นที่ที่มองเห็นว่า กำลังเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งจุดตรวจ จุดสกัดและป้อมยามต่างๆ ไม่มีความหมาย เพราะมีหรือไม่มีก็ไม่ต่างกัน แถมยังควรให้ทหารกลับเข้ากรมกอง และยกเลิก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไปเลยก็ได้ เพราะอยู่ไปก็ปกป้องอะไรไม่ได้
ซึ่งก็น่าจะจริงนะ เพราะนี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ยังจับใครเพิ่มไม่ได้ รวมทั้งยังไม่เห็นการขยายผลใดๆ ต่อเนื่องมา
เวลานี้มีคนในพื้นที่ฝากถามถึง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าว่า ถ้าในคืนวันที่ 8-9 มิถุนายนที่ผ่านมาฝ่ายบีอาร์เอ็นเปลี่ยนจากแขวนป้ายผ้าและพ่นสีถนนไปเป็นการ “แขวนระเบิด” และ “โรยตะปูเรือใบ” จะเกิดอะไรกับการเดินทางมาเยือนของคณะทูตานุทูตจากประเทศมุสลิมดังกล่าว ที่สำคัญรัฐบาลไทยเราจะเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อยากบอกกับบรรดาท่านๆ ที่มีอำนาจใน “รัฐบาล” และ “กองทัพ” ทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า ควรรีบนำเอากระเช้าไป “กราบขอบคุณ” ผู้นำบีอาร์เอ็นที่พวกเขายังไว้หน้าให้ด้วย

จับตา “กองทัพ” ขอเพิ่มงบไล่ให้ทันพัฒนาการแบ่งแยกดินแดน

@19 พ.ค. 2567 21:01

ทัศนะ : ไชยยงค์ มณีพิลึก

เสียงตะโกน “เมอร์เดก้า ปาตานี” ในขบวนแห่ 2 ศพ ซึ่งถูกวิสามัญฆาตรกรรมเมื่อ 2 พ.ค. 2567 ที่บ้านน้ำดำ อ.ทุ่งยาแดง จ.ปัตตานี ถือเป็นเหตุการณ์ “บิดเบือนข้อเท็จจริงซ้ำซาก” ว่าผู้เสียชีวิต “ชาอีด” หรือพลีชีพในฐานะ “นักรบพระเจ้า” ทั้งที่เป็นเรื่องของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาแต่อย่างใด

ใครสงสัยว่าไม่เป็นจริงดังว่า ให้ไปสอบถามได้จาก ผู้นำศาสนา ทั้งแต่ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ดาโต๊ะยุติธรรม และอิหม่ามประจำมัสยิดต่างๆ ยิ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งรัฐบาลและหน่วยงานในพื้นที่อย่าง ศอ.บต.และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ดูเหมือนเอาใจพี่น้องมุสลิมยิ่งกว่าคนพุทธเสียด้วย

แต่ทำไมทุกครั้งที่ “คนร้าย” ที่ก่อคดีและมีหมายจับ แถมยังเป็นขบถต่อแผ่นดินเกิด เมื่อเสียชีวิตจากการต่อสู้เจ้าหน้าที่รัฐ ทำไมครอบครัวไม่แยกแยะผิดชอบชั่ว แต่กลับละเลยหลักการศาสนา รวมถึง หลักกฎหมายบ้านเมือง คิดได้อย่างไรว่า ผู้ตายเป็นวีรบุรุษ เป็นนักรบพระเจ้า เป็นผู้พลีชีพเพื่อมาตุภูมิ

การนำศพคนร้ายถูกวิสามัญฯ ไปประกอบพิธีในลักษณะดังกล่าว ขอถามว่าเป็นเรื่องที่ครอบครัวและญาติมิตรคิดเอง หรือเป็นเพราะถูกแกนนำหรือแนวร่วมบีอาร์เอ็นบีบบังคับให้ทำ ที่สำคัญเรื่องนี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เคยศึกษาวิเคราะห์ หรือกระทั่งเคยให้ความสนใจประเด็นนี้หรือไม่

กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า คิดอย่างไรกับการเอาศพคนทำผิดไปประกอบพิธีเยี่ยงวีรบุรุษ โดยมีคนหนุ่มสาวและเด็กๆ จำนวนมากมาร่วมร้องตะโกนคำที่สื่อถึง “เอกราชปัตตานี” ถือเป็นการปลุกระดมที่เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่

ที่สำคัญ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจะจัดการกับการทำพิธีศพที่บิดเบือนข้อเท็จจริง อีกทั้งก็รู้ว่าสอดรับกับแผนการของฝ่าย บีอาร์เอ็น ที่ต้องการใช้พิธีศพเติมไฟแค้นในใจ “มวลชน” ในพื้นที่ โดยเฉพาะต้องการให้ยิ่งเพิ่มความโกรธเคืองเจ้าหน้าที่รัฐ

รู้นะว่า “สำเหนียกถึงอันตราย” จากขบวนการแห่ศพที่เกิดขึ้น แต่ไม่เห็นว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าได้ดำเนินการแก้ปัญหาใดๆ ทำไมจึงไม่ให้ “ผู้นำศาสนา” รวมถึง “ฝ่ายปกครอง” ไปทำความเข้าใจ “ครอบครัวผู้ตาย” อย่างเป็นมีกระบวกการและเป็นระบบอย่างที่ควรจะเป็น

สถานการณ์ “ไฟใต้” ยิ่งนานวัน การทำหน้าที่ของ “หน่วยงานความมั่นคง” ยิ่งถดถอย ส่งผลให้ “อำนาจรัฐ” ในพื้นที่ชายแดนใต้ยิ่งหดหาย จนเวลานี้ดูเหมือนจะไร้ความหมายไปแล้วในสายตาของคนในพื้นที่ เพราะสิ่งที่ดำเนินอยู่ทุกวี่วันเรากำลังปล่อยให้ “คนบางกลุ่ม” อยู่เหนือกฎหมายไทย ทั้งที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย

หากยังปล่อยให้ขบวนแห่ศพคนร้ายที่ถูกวิสามัญฯ ได้กระทำละเมิดทั้งหลักการทางศาสนาและหลักการกฎหมายบ้านเมืองดำเนินไปเช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจะเอาชนะบีอาร์เอ็นได้อย่างไร แล้วอย่างนี้ “มาตรการดับไฟใต้” จะทำให้ประชาชนได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้อย่างไร

ถึงเวลาที่สังคมต้องจุดไฟจี้ก้น ผบ.ทบ.ให้ใช้ไม้เรียวหวดก้นบรรดาแม่ทัพนายกอง รวมถึงเสนาธิการ ในสังกัด กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เพราะยิ่งปล่อยไว้ก็ยิ่ง “สิ้นเปลือง” ทั้งเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงไปแบบเปล่าประโยชน์

ส่วนจะให้ไปฟ้องนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม หรือกระทั่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เชื่อว่าคงจะไม่มีใครรู้และเข้าใจปัญหาบนแผ่นดินปลายด้านขวานพอเพียง แต่ถ้าการทำหน้าที่ของ “กองทัพ” ยังหน่อมแน้มแบบไม่เอาจริง เอากันแต่งบประมาณ วิกฤตไฟใต้ก็จะดำรงอยู่อย่างที่เห็นต่อไป

อ้อ!! มีเรื่องที่น่าแปลกใจเกิดขึ้นอีกแล้ว เชื่อหรือไม่ว่า “คนร้าย” ในคดีลอบวางระเบิดร้านสะดวกซื้อที่ ต.ดุซงญอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ที่ถูกจับมาผ่าน “กระบวนการซักถาม” ได้คำตอบว่า ไม่ใช่คนที่สวมเสื้อพะยี่ห้อ “บีอารเอ็น” แต่เป็นคนของขบวนการ “พูโล 5 จี” ที่มีนายคัสตูรี มาห์โกตา เป็นหัวหน้า

ถ้าเป็นความจริงตามคำให้การของคนร้ายที่ยอมรับว่ามีการก่อเหตุในพื้นที่ จ.นราธิวาส มาแล้ว 3 ครั้งช่วงปี 2567 นี้ และถ้าไม่ถูกจับเสียก่อนยังมีแผนวางระเบิดอีกหลายจุด อาทิ สำนักงานอุตฯ โรงไฟฟ้า ปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น จึงนับเป็นโชคดีที่ไม่ต้องเสียหายมากกว่าที่เป็นอยู่

เป็นเรื่องราวที่น่าตกใจหรือไม่ที่ในวันนี้นอกจากบีอาร์เอ็น ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ายังเอาไม่อยู่แล้ว ยังมี “พูโล 5 จี” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในอดีตถูกปลุกผีขึ้นมาผสมโรงร่วมป่วนชายแดนใต้อีกขบวนการหนึ่งด้วย

และก็เป็นที่รับรู้กันว่า นายคัสตูรี มาห์โกตา ต้องการให้นายฉัตรชัย บางชวด หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขรัฐไทยส่ง “เทียบเชิญ” พูโล 5 จี ให้เข้าร่วมโต๊ะเจรจา จึงพยายามสร้างตัวตนจากปฏิบัติการก่อเหตุดังกล่าว เพราะรู้ดีว่าขบวนการไหนมีภาพว่ามี “กองกำลังติดอาวุธ” จะได้รับเชิญทันที

อีกหนึ่งข่าวสารที่มีการใช้ “โดรน” เปิดปฏิบัติการโจมตีฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่ฮือฮาอยู่ในขณะนี้ นับเป็นข่าวจริงที่ขบวนการบีอาร์เอ็นได้พัฒนาขึ้น รวมถึงการใช้ “สไนเปอร์” และระเบิดแสวงเครื่องในรูปแบบแปลกใหม่

ยิ่งบีอาร์เอ็นรุกหนักทั้งทางการทหารและทางการเมืองมากเท่าไหร่ “ภัยแทรกซ้อน” จากธุรกิจผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นขบวนการค้ายาเสพติด อาวุธยุธโทปกรณ์ รวมทั้งสินค้าผิดกฎหมายอย่างบุหรี่เถื่อนและเนื้อเถื่อนก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เพราะสิ่งเหล่านั้นคือที่มารายได้ฝ่ายบีอาร์เอ็นด้วย

อันเป็นไปตามคำแนะนำขององค์กรฝรั่งหัวแดง “เจนีวาคอลล์” ที่ในอนาคต ทั้งบีอาร์เอ็นและพูโล 5 จีจะมีการจ่ายเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงให้แก่ “กองกำลังติดอาวุธ” และ “แนวร่วม” ในพื้นที่ตามหลักการความจริงที่ “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง”

ทั้งหมดนี้คือ “พัฒนาการไฟใต้” จึงอยากถามว่า กองทัพและโดยเฉพาะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจะรับมืออย่างไร ช่วยตอบให้สังคมได้ชื่นใจบ้าง หรือหากไม่อยากตอบหลายเรื่อง ขอเพียงเรื่องเดียวก่อนก็ได้คือ จะแก้ปัญหาการแห่ศพคนร้ายที่ถูกวิสามัญฯ อย่างบิดเบือนดังที่บอกเล่าไว้แล้วได้อย่างไร

อย่าบอกนะว่า เมื่อขบวนการแบ่งแยกดินแดนมีพัฒนาการสร้างปัญหาให้ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ กองทัพจึงมีความจำเป็นต้องต้อง “ตั้งงบประมาณ” ให้มากขึ้นแบบสอดรับกันไปเรื่อยๆ เช่นกัน

หัวข้อทั้งหมด

ชิลล์ฯ เที่ยว - ชิม - ชอป

เบตงพร้อมแล้ว! งานวิ่งเทรลระดับโลกครั้งที่ 2 Amazean Jungle Thailand 2024

@25 เม.ย. 2567 15:37

ประธาน กพต.แถลงความพร้อมจัดงานวิ่งเทรลสนามระดับโลก ครั้งที่ 2 Amazean Jungle Thailand 2024 @เบตง ที่ อ.เบตง จ.ยะลา 3-5 พ.ค.นี้ คาดกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 300 ล้านบาท

วานนี้ (24 เม.ย.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ (กพต.) ร่วมกับนายกิตติ เชาว์ดีเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายชนธัญ แสงพุ่ม รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และ Mrs.Sabrina De Nadai UTMB Asia Director แถลงข่าวการจัดการแข่งขันวิ่งเทรล Amazean Jungle Thailand by UTMB 2024

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การจัดการแข่งขันวิ่งเทรล Amazean Jungle Thailand by UTMB 2024 ถือว่าเป็นการจัดงานวิ่งระดับโลก เพราะได้รับการรับรองมาตรฐานจาก UTMB : Ultra Trail du Mont Blanc ที่เป็นผู้จัดงานวิ่งเทรลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยการจัดงานครั้งนี้ หน่วยงานหลักที่เป็นผู้รับผิดชอบ คือ ศอ.บต.ร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซึ่งการจัดงานครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 โดยครั้งแรกจัดเมื่อปี 2566 นับว่าประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี โดยในครั้งนั้น มีนักวิ่งเทรลเข้าร่วมโครงการ จำนวน 2,539 คน จาก 48 ประเทศทั่วโลก กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากถึง 243 ล้านบาท

สำหรับการจัดการแข่งขันวิ่งเทรล ในปี 2567 จะจัดขึ้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา โดยเปิดรับสมัครไปแล้วตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 และจัดการแข่งขันในวันที่ 3–5 พฤษภาคม 2567 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการแข่งทั้งหมด 3,480 คน จาก 48 ประเทศทั่วโลก แบ่งเป็น คนต่างชาติ 28% เช่น มาเลเซีย 15% จีน 4% ญี่ปุ่น 1% และ คนไทย 72% โดยคาดว่า จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 300 ล้านบาท ซึ่งการจัดงานวิ่งครั้งนี้ จุดปล่อยตัวคือ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อยู่กลางเมืองเบตง จะวิ่งผ่านสถานที่สำคัญ เช่น เทือกเขาสันกาลาคีรี จุดชมวิวทะเลหมอกจาเราะกางา จุดชมวิวทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต และอุโมงค์ปิยะมิตร เป็นต้น

นายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า งานแข่งขันวิ่งเทรลมี 6 ระยะแข่งขัน ได้แก่ 3.5 กม., 16 กม., 26 กม., 54 กม., 103 กม. และ 145 กม. โดยมีรางวัลการแข่งขัน ดังนี้ ระยะ 145 กม.,03 กม. และ 54 กม. อันดับที่ 1 ชายและหญิง เงินรางวัล 600 ยูโร (ประมาณ 23,000 บาท) อันดับที่ 2 ชายและหญิง เงินรางวัล 450 ยูโร (ประมาณ 18,000 บาท) อันดับที่ 3 ชายและหญิง เงินรางวัล 300 ยูโร (ประมาณ 11,500 บาท) ส่วนระยะ 26 กม. และ 16 กม. จะรับถ้วยรางวัล สำหรับอันดับที่ 1-5 ชายและหญิง โดยประโยชน์ของการจัดงานครั้งนี้ ผู้เข้าแข่งขันจะได้มีโอกาสสัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติ วิถีชีวิต วัฒนธรรม อาหาร รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดชายแดนใต้

ทั้งนี้ ต่างชาติยกให้ อ.เบตง เป็นเพชรที่ซ่อนในภาคใต้ จึงถือเป็นสิ่งที่น่ายินดีที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชื่นชมความสวยงามของเมืองเบตง พร้อมยกระดับการจัดแข่งขันให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันและผู้ติดตามมั่นใจ ประทับใจในการเดินทางมาร่วมแข่งขัน และดึงดูดให้นักวิ่งเทรลทั่วโลกกลับมาเยือนทุกๆ ปี ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวที่ดี โดยเฉพาะมิติด้านการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่สายตาชาวโลก

หน้าร้อนชาวสะเดาแห่เล่นน้ำตกวังหินสูง พาครอบครัวตั้งโต๊ะปูเสื่อทานอาหารเที่ยง

@11 มี.ค. 2567 00:08

หน้าร้อนชาวสะเดาแห่เล่นน้ำตกวังหินสูง พาครอบครัวตั้งโต๊ะปูเสื่อทานอาหารเที่ยง

ที่น้ำตกวังหินสูง ในพื้นที่หมู่ 6 บ้านควนดินเหนียว ต.ทุ่งหมอ อ.สะเดา จ.สงขลา ได้มีชาวบ้าน อ.สะเดา จ.สงขลา และอำเภอใกล้เคียงต่างพาครอบครัว และเพื่อนๆขับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หลบอากาศร้อนลงเล่นน้ำ พร้อมทั้งตั้งโต๊ะ ปูเสื่อ ตั้งวงนั่งทานอาหาร ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆกันเป็นจำนวนมาก โดยภายในน้ำตกวังหินสูงมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้านำสิ่งของมาเปิดร้านขายกันอย่างเป็นระเบียบ

ซึ่งทางเข้าน้ำตกวังหินสูงสามารถขับรถมาตามถนนสายบ้านคลองแงะ เข้าไปทางบ้านควนสะตอเกือบ 20 กม. ก็จะถึงที่หมาย ซึ่งจะมีป้ายเขียนให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งน้ำตกแห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชาวตำบลทุ่งหมอ อ.สะเดา จ.สงขลา ที่ผู้คนมักจะหลบหนีอากาศร้อนเข้าไปเล่นน้ำในวันหยุด อีกทั้งเส้นทางในการเดินทางที่สะดวกที่ทาง อบต.ทุ่งหมอ ได้ทำการปรับปรุงถนนราดยางตลอดสาย พร้อมมีที่จอดรถสะดวกสบาย และปลอดภัยในการเดินทางมาเล่นน้ำที่นี่อีกด้วย

หัวข้อทั้งหมด

วรรณกรรม - ศิลปะ - วัฒนธรรม

หนังตะลุงและมโนราห์ ลิเกป่าและเพลงบอก คือศิลปะวัฒนธรรม ที่ถือเป็นการละเล่นในท้องถิ่น

@28 มิ.ย. 2566 10:23

โดย.. ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล

หนังตะลุงและมโนราห์ ลิเกป่าและเพลงบอก คือ “ศิลปะวัฒนธรรม” ที่ถือเป็นการละเล่น ในท้องถิ่น ที่มีประวัติความเป็นมา ที่เก่าแก่และยาวนานของผู้คนในภาคใต้ ที่เคยผ่านความรุ่งเรืองและรุ่งโรจน์มาในยุคสมัยหนึ่ง ที่ถูกกล่าวขาน ถึงในศิลปะการแสดง ที่เป็นที่จดจำจนกลายเป็นตำนานที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว

เช่น “มโนราห์เติม วิน-วาด” คณะมโนราห์ชื่อดังจากเมืองตรัง หนังกั้น ทองหล่อ หนังฉิ้น ธรรมโฆษณ์ แห่ง จ.สงขลา หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล หรือ “พร้อม บุญฤทธิ์” ที่มีประวัติจาก “นายหนังตะลุง” ไปเป็น “ส.ส.” หรือผู้แทนราษฎรแห่ง จ.พัทลุง และหนังอิ่มเท่ง หนัง นครินทร์ ชาทอง หนังสกุล เสียงแก้ว ซึ่งหลายท่านเป็น “ศิลปินแห่งชาติ” ที่เป็นผู้มีชื่อเสียง และคุณูประการต่อวงการศิลปินพื้นบ้านอย่างอเนกอนันต์

วันนี้ วงการของ “ศิลปินพื้นที่บ้าน” อย่างลิเกป่าและเพลงบอก อาจจะเหลืออยู่ไม่กี่คณะทั้งภาคใต้ และอาจจะหมดไปตามกาลเวลา เพราะคนสมัยใหม่ไม่รู้จัก และไม่นิยมชมชอบการละเล่น หรือการแสดงของศิลปินพื้นถิ่นในยุคเก่า เช่นเดียวกับมโนราห์และหนังตะลุง ที่ แม้จะมีอยู่จำนวนไม่น้อยในภาคใต้ ที่ยังรับงานแสดงอยู่ แต่การแสดงก็ไม่ชุกชุมเหมือนในอดีต ที่หนังตะลุงบางคณะอย่าง “หนังน้องเดียว” ที่เคยมีขันหมากรับการแสดงข้ามปี และมี “ค่าราด” ที่กล่าวขานว่า แพงที่สุดในหมู่คณะหนังตะลุงในภาคใต้

โดยเฉพาะคณะหนังตะลุงใน “ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา” ซึ่งมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 30 คณะ ที่ส่วนหนึ่งเป็นนายหนังรุ่นใหม่ ที่เข้ามาทดแทนคณะหนังตะลุงรุ่นเก่า ที่อายุมากและล้มหายตายจากไปจากวงการศิลปินพื้นบ้าน เหลือแต่ชื่อเสียงเป็น “ตำนาน” ให้กล่าวถึงและกำลังเลือนหายไปตามกาลเวลา

วันนี้ สถานะของหนังตะลุงในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ก็ยังคงลุ่มๆ ดอนๆ แบบยึดเป็นอาชีพไม่ได้ ยกเว้นบางคณะที่มีชื่อเสียง แต่การที่จะมีผู้รับไปแสดงเดือนละ 20 คืน หรือ มากกว่านั้นอย่างในอดีตคงจะไม่หวนกลับมาอีกแล้ว เพราะเท่าที่ติดตามการแสดงของหนังตะลุง จะเห็นว่า ส่วนใหญ่เป็นงานแก้บน เป็นงานวัด งานประเพณี วัฒนธรรม หรืองานประจำปี เช่น งานสารทเดือนสิบที่ จ.นครศรีธรรมราช ส่วนงานกาชาด งานสวนสนุก เป็นงานที่หนังตะลุงได้รับการติดต่อไปแสดงน้อยต่อน้อย

จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของคณะหนังตะลุง ที่เป็นพัฒนาการ เพื่อนำเสนอการแสดงในแนวใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม ที่คนดูหนังตะลุงไม่ได้นั่งหน้าจอ เพื่อชมการแสดงคน “รุ่งแจ้งคาตา” เหมือนในอดีต แต่คนดูหนังตะลุง หลังเที่ยงคืนก็กลับบ้านแล้ว คณะหนังตะลุงจึงแสดงให้คนดูไม่เกิน 3-4 ชั่วโมง การเล่นหนังหรือแสดงหนังจึงมีการเปลี่ยนแปลงเป็นการเล่นเรื่องไปเน้นความบันเทิง “ตลกโปกฮา” และการร้องเพลงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการเดินเรื่องและขับกลอนลดน้อยลง เพราะแม้กลอนดีและเสียงหวาน แต่คนรุ่นใหม่เข้าไม่ถึงศิลปะเหล่านี้ หลายคณะที่เป็น “นายหนังรุ่นใหม่” ที่ นำเอาผู้เล่นตลกและคนดังที่เป็นดาวติ๊กต็อกไปโชว์ตัว โชว์เสียง โชว์ลีลา ให้ผู้มาชมการแสดงได้ดู จึงเป็นอีกช่องทางในการเรียกผู้ชมให้ติดตามการแสดงของคณะหนังตะลุง แม้จะผิดเพี้ยนจาก “ขนบ” ดั้งเดิมของหนังตะลุงในอดีต ตาเป็นความจำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

และอีกความเปลี่ยนแปลงคือ การแสดงที่นำเสนอผู้ชมในยูทูปและติ๊กต็อก และในช่องทางอื่นๆ ในสื่อโชเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นช่องทางของการเสพสื่อ ที่ทันสมัย สอดคล้องกับโลกในปัจจุบัน ที่ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย และเข้าถึงได้ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปดูไปชมการแสดงถึงสถานที่หน้าเวที

เป็นการแสดงบนยูทูปและติ๊กต็อก ที่เป็นคลิปสั้นๆ เน้นตลกโปกฮา สร้างอารมณ์ขันเป็นด้านหลัก แต่ก็มีผู้ติดตามที่มากพอสมควร เป็นการลงทุนไม่น้อยกว่าการแสดง ที่มีทั้งลูกคู่และอุปกรณ์การแสดง ที่ต้องใช้รถ 6 ล้อ ในการบรรทุกอุปกรณ์การแสดง ในขณะที่ค่าจ้างลดน้อยลง และที่สำคัญ บางครั้งผู้ที่มาชมการแสดงที่หน้าโรงหนัง อาจะน้อยกว่าลูกคู่และพนักงานของคณะหนังด้วยซ้ำ นี่หมายถึงนายหนัง ที่ชื่อเสียงยังไม่ดัง ซึ่งเป็นนายหนัง หรือคณะหนังรุ่นใหม่ ในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา

“ชนนพัฒน์ นาคสั้ว” ผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชารัฐ เขตเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นบุคคล ที่มองเห็นถึงความไม่แน่นอนของอาชีพการเป็นคณะหนังตะลุงในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้กล่าวว่า ตนเองมองเห็นถึงปัญหาของนายหนังตะลุงและคณะหนังตะลุง ที่ประกอบด้วยผู้คนจำนวนหนึ่ง ที่ประกอบเป็นคณะหนัง แต่ละคณะ ไม่ต่ำกว่า 10 คน ที่เมื่อคณะหนังมีการแสดงน้อยลง ก็ต้องได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดน้อยลง ต้องประกอบอาชีพอื่นๆ เป็นอาชีพหลัก เพราะการเป็นลูกคู่ของการแสดงหนังตะลุง รายได้ไม่แน่นอน ซึ่งในระยะยาว ย่อมส่งผลกระทบถึงอาชีพการเป็นลูกคู่ ที่เป็นศิลปะของการเล่นดนตรี ที่อาจจะสูญหายไปในอนาคต เช่น นายปี่ นายทับ นายโหม่ง และมือซอ เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ได้รับผลกระทบจากการที่หนังตะลุงมีผู้รับไปแสดงน้อยลง คือผู้ที่มีอาชีพในการแกะรูปหนัง ที่ใช้ในการแสดง ที่เป็นงานศิลปะในอีกแขนงหนึ่ง ที่เมื่อการแสดงของคณะหนังน้อยลง ความต้องการ “รูปหนัง” ก็จะน้อยลง ซึ่งกระทบกับรายได้และงานฝีมือที่อาจจะต้องเลิกราไปในที่สุด

“ในฐานะของ ส.ส. ที่เป็นผู้แทนในเขต 4 สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ผมมีนโยบายในการส่งเสริมการแสดงหนังตะลุง และการอนุรักษ์ศิลปะ ศิลปินพื้นบ้าน สาขาหนังตะลุง ที่มีอยู่ประมาณ 25-30 คณะ ให้สืบสานศิลปะวัฒนธรรม การเล่นหนังหรือการแสดงหนังตะลุง ให้มีรายได้ ที่ยึดเป็นอาชีพ มีงานการแสดง และมีการตั้งกองทุน หรือการได้รับการดูแล และการส่งเสริม จากหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคประชาชน”

“ขณะนี้ อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล อุปสรรค ปัญหาต่างๆ ของคณะหนังตะลุงในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง เพื่อเป็นแนวทางในการที่จะสืบสานศิลปะวัฒนธรรม การแสดงหนังตะลุง ให้เป็นอาชีพที่มั่นคง เพื่อให้ศิลปะการแสดงหนังตะลุงอยู่คู่กับประชาชนในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาสืบไป”

แน่นอน เรื่องของหนังตะลุง หรือการแสดงหนังตะลุง คือ เอกลักษณ์ของคนใต้ที่มีความสำคัญ ที่บอกถึงรากเหง้าของคนใต้ ที่เกี่ยวกับศิลปะวัฒนธรรม ที่ต้องดำรงไว้เพื่อให้อยู่คู่กับคนใต้ตลอดไป จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ ส.ส.ที่เป็นคนรุ่นใหม่ อย่าง “ชนนพัฒ์ นาคสั้ว” ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เขต 4 สงขลา มองเห็นถึงความสำคัญ และมีแนวทางในการส่งเสริมสนับสนุนการแสดงหนังตะลุง ในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาให้มั่นคงสืบไป

“พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา” นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด จ่าเพียรขาเหล็ก

@12 มี.ค. 2566 13:02

12 มี.ค.2553 พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา เสียชีวิตจากการซุ่มโจมตีด้วยการวางระเบิดรถยนต์ และยิงถล่มซ้ำด้วยอาวุธสงคราม ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่บ้านทับช้าง ต.ตลิ่งชัน ขณะนำกำลังออกปฏิบัติการกดดันแนวร่วมขบวนการ

นั่นคือปฏิบัติการสุดท้ายของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา หรือ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ที่เป็นสมญานามของ พ.ต.อ.สมเพียร ที่ได้ทำหน้าที่ ปกป้องประเทศชาติ และประชาชนด้วย “ชีวิต” ปิดฉากชีวิตของนักรบ นักสู้ แห่งเทือกเขาบูโด อันลือลั่นกว่า 40 ปี

วันนี้ในอดีต เมื่อ 13 ปีที่แล้วตรงกับวันที่ 12 มีนาคม 2553 วันถึงแก่กรรม พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา จังหวัดยะลา ได้ฉายาว่า จ่าเพียรนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด และจ่าเพียรขาเหล็ก

พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เป็นอดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา จังหวัดยะลา รับราชการตำรวจตั้งแต่เป็นพลตำรวจ จนถึงยศพันตำรวจเอก และได้รับพระราชทานยศพลตำรวจเอกเป็นกรณีพิเศษ

จากการปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเวลากว่า 40 ปี กระทั่งเคยได้รับการโปรดเกล้าฯ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง

กระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อปี 2525 จากการเสนอขอพระราชทานโดย พล.อ.เทียนชัย ศิริสัมพันธ์ เป็นตำรวจชั้นประทวนคนแรกที่ได้รับพระราชทาน

พล.ต.อ.สมเพียร เกิดวันที่ 6 พฤศจิกายน 2493 ที่ ต.วังใหญ่ อ.เทพา จ.สงขลา จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนมัธยมเทพา มัธยมศึกษาตอนปลายจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมา เข้าเรียนที่โรงเรียนตำรวจภูธร 9 จังหวัดยะลา เมื่อปี 2513 (นพต. รุ่น 15) เริ่มต้นชีวิตรับราชการตำรวจที่ สภ.อ.บันนังสตา จ.ยะลา

วันที่ 12 มีนาคม 2553 ในขณะที่ พล.ต.อ.สมเพียร นั่งรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้าไฮลักซ์ วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา พร้อมลูกน้อง 3 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย ออกไปติดตามหาข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ หลังทราบข่าวว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ออกมาเคลื่อนไหวในพื้นที่เพื่อเตรียมก่อเหตุร้ายครั้งใหญ่

เมื่อขับรถยนต์มาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ มีคนร้ายไม่ทราบกลุ่ม จำนวน 5-8 คน กดระเบิดที่ฝังไว้ และใช้อาวุธสงครามยิงเข้าใส่ จำนวนหลายชุด เกิดการปะทะกันประมาณ 10 นาที เมื่อกำลังเสริมเข้าไปกลุ่มคนร้ายได้ล่าถอยเข้าไปในป่า ทั้งหมดถูกลำเลียงทั้งทางรถยนต์ และทางเฮลิคอปเตอร์เป็นการด่วน

แรงระเบิดและคมกระสุนส่งผลให้ พล.ต.อ.สมเพียร ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตที่ รพ.ศูนย์ยะลา สิริอายุ 59 ปี และได้รับพระราชทานยศ พลตำรวจเอก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทยเป็นกรณีพิเศษ

ก่อนหน้านั้น วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ได้เดินทางเข้าพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อร้องเรียนกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับรอง ผบก.สว.ที่ผ่านมา

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นความจำนงขอพิจารณาโยกย้ายเป็น ผกก.สภ.กันตัง จ.ตรัง พื้นที่ของ บช.ภาค 9 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ว่างอยู่ในปีสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ แต่ก็ไม่ได้รับการพิจารณา ครั้งนั้นผู้กำกับกระดูกเหล็กถึงกับหลั่งน้ำตาและเปิดใจตัดพ้อไว้ว่า...

"รับราชการตำรวจมาร่วม 40 ปี และใช้ชีวิตอยู่ใน สภ.บันนังสตา มานานตั้งแต่สมัยชั้นประทวน ต่อสู้กับคนร้ายจนรอดตายมาหลายครั้ง ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็หลายหน ครั้งนี้รู้สึกเหนื่อยล้า และเป็นปีสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ จึงขอโยกย้ายออกนอกพื้นที่ไปอยู่บ้านภรรยาที่ตรัง

และผู้บังคับบัญชารับปากจะพิจารณาให้ย้ายไปที่โรงพักดังกล่าว แต่พอคำสั่งแต่งตั้งมาปรากฏว่าไม่ได้ย้าย คงอยากจะทำเรื่องขอพระราชทานยศ พล.ต.อ.ให้ตนตอนตายแล้วมากกว่า"

วันที่ 17 มีนาคม 2553 เมื่อเวลา 14.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร (พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์เพื่อเป็นองค์ประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ณ วัดคลองเปล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ยังความปลื้มปีติให้แก่ครอบครัวของ พล.ต.อ.สมเพียร เป็นล้นพ้น

ปัจจุบัน มีรูปปั้นจ่าเพียร ซึ่งมีการสร้างไว้ในวัดคลองเปล เพื่ออนุสรณ์สถานในคุณงามความดีของจ่าเพียร และบทประพันธ์สดุดีความกล้าหาญของจ่าเพียร ที่สละชีพเพื่อชาติ “วีรชนคนกล้าของแผ่นดิน” มีเนื้อความว่า

จากลูกพล สู่นายพล ด้วยผจญความร้อนหน้าว ผ่านศึกทุกครั้งคราว บากบั่นสู้ไม่ถอยหนี จากแรงกายสู่แรงใจ ทุ่มเทให้ในหน้าที่ สละเลือดเป็นชาติพลี ขอสดุดี "จ่าเพียร"

หัวข้อทั้งหมด

เราเป็นสมาชิก
  • สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย
  • สมาคมหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย