The Agenda South
เตือนเกษตรกรชาวสวนมะพร้าว จ.สงขลา เฝ้าระวังหนอนหัวดำมะพร้าวระบาด
เตือนเกษตรกรชาวสวนมะพร้าว เฝ้าระวังหนอนหัวดำมะพร้าวระบาด ในพื้นที่ของ จ.สงขลา ล่าสุดพบการระบาดแล้วในพื้นที่ปลูกมะพร้าวกว่า 2,000 ไร่
ตามที่ได้เกิดการระบาดของหนอนหัวดำ มากัดกินใบมะพร้าวในสวนมะพร้าว บริเวณเขตคาบสมุทรสทิงพระ และเขตอื่นๆ ในพื้นที่ จ.สงขลา ทำให้พี่น้องเกษตรกรได้รับความเดือดร้อน และต้นมะพร้าวเสียหายจำนวนมาก ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ได้ลงพื้นที่เพื่อหาแนวทาง และวิธีการที่จะยับยั้งหนอนหัวดำ ร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่จากกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร พี่น้องเกษตรกร อาสาเกษตร องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา รวมถึงเกษตรอำเภอกระแสสินธุ์ ซึ่งปัจจุบันจากข้อมูลพบว่า จ.สงขลา มีการปลูกมะพร้าวประมาณ 20,000 ไร่ และเกิดการระบาดของหนอนหัวดำไปแล้วกว่า 2,000 ไร่ โดยเฉพาะในพื้นที่ 4 อำเภอคาบสมุทรสทิงพระ ที่พบมากกว่าพื้นที่อื่น และได้สรุปวิธีกำจัดหนอนหัวดำได้หลายวิธี เช่น การใช้สารเคมี การใช้แตนเบียน และการบำรุงดูแลรักษาสวนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
นายมโน หะยะมิน นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองสงขลา ได้ลงพื้นที่ทำการตรวจสอบ และแนะนำให้เกษตรกร ที่สวนมะพร้าวถูกหนอนหัวดำมะพร้าวทำลาย ทำการตัดทางใบมะพร้าวที่ถูกหนอนหัวดำมะพร้าวกัดกินใบ นำไปเผาทำลาย พร้อมกันนี้ ทางสำนักงานเกษตรอำเภอเมืองสงขลา จะขอสนับสนุนแตนเบียน ซึ่งเป็นแมลงศัตรูธรรมชาติของหนอนหัวดำมะพร้าว มาปล่อยเพื่อจัดการหนอนหัวดำมะพร้าวอีกด้วย
ทั้งนี้ เกษตรกรชาวสวนมะพร้าวจะต้องเฝ้าระวัง และตรวจสอบสวนมะพร้าวของตนเองสม่ำเสมอ ซึ่งหนอนหัวดำมะพร้าวจะเข้ากัดกินผิวใบแก่ของใบมะพร้าว หากระบาดรุนแรงก็จะกัดกินทำลายผิวผล ทำให้ต้นมะพร้าวชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก หากพบการระบาดของหนอนหัวดำมะพร้าว สามารถแจ้งให้สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองสงขลาทราบโดยด่วน เพื่อตรวจสอบและให้คำแนะนำช่วยเหลือต่อไป สอบถามเพิ่มเติมโทรศัพท์หมายเลข 074-313093
ชาวบ้านใน จ.สงขลา ยื่นหนังสือร้องทุกข์ เดือนร้อนจากกลิ่นเหม็นโรงงานคัดแยกขยะ
ตัวแทนชาวบ้านจาก 2 หมู่บ้านใน ต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา จ.สงขลา เดินทางยื่นหนังสือให้กับสมาชิกวุฒิสภา ร้องเรียนถึงความเดือนร้อนจากกลิ่นเหม็นของโรงงานคัดแยกขยะใน อ.คลองหอยโข่ง เผยร้องไปยังฝ่ายปกครองหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล
วานนี้ (23 พ.ย.) ที่ศูนย์ประสานงานสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสงขลา ถนนไทยอาคาร อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้มีตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 4 และหมู่ 7 ต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา จ.สงขลา เดินทางมาเพื่อยื่นหนังสือให้กับ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล ตัวแทนสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสงขลา โดยตัวแทนชาวบ้านทั้ง 2 ตำบล ประมาณ 200 ครัวเรือน ซึ่งได้ลงชื่อในหนังสือร้องเรียน โดยทั้งหมดแจ้งว่าได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่นเหม็นของขยะ จากโรงงานคัดแยกขยะ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.คลองหอยโข่ง อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา และเป็นพื้นที่รอยต่อกับ ต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา จ.สงขลา โดยโรงงานดังกล่าวเป็นโรงงานคัดแยกขยะ ที่รับซื้อมาจากเทศบาล และ อบต.ต่างๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อนำมาคัดแยกและส่งขายให้กับผู้ซื้อ สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านใน ต.ท่าโพธิ์ ทั้ง 2 หมู่บ้านกว่า 200 หลังคาเรือน โดยมาจากกลิ่นเหม็นเน่าของกองขยะ และส่งกลิ่นรบกวนตลอด 24 ชั่วโมง สร้างความเดือดร้อน รำคาญใจและเชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพ และอนามัยของทุกคน
โดยตัวแทนของผู้ร้องเรียน กล่าวว่า ได้นำเรื่องความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นไปร้องทุกข์กับหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่มาแล้ว เช่น อบต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา แต่เจ้าหน้าที่อ้างว่าโรงงานคัดแยกขยะดังกล่าวไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของ อบต.ท่าโพธิ์ จึงไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ สั่งการ จึงทำได้เพียงประสานงานกับ อบต.คลองหอยโข่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานคัดแยกขยะที่เป็นตัวการของกลิ่นเหม็นที่เกิดขึ้น จึงทำให้ชาวบ้านใน 2 หมู่บ้านต้องทุกข์ทรมานกับกลิ่นเหม็นเน่าที่เกิดขึ้น ดังนั้น จึงได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียน ร้องทุกข์กับสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสงขลา เพื่อให้การช่วยเหลือ
ด้านนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล ในฐานะตัวแทนของสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสงขลา ได้รับหนังสือร้องเรียน พร้อมกล่าวกับตัวแทนชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่นเหม็นของโรงงานคัดแยกขยะว่า จะได้นำความเดือดร้อนของชาวบ้านที่เกิดขึ้นไปแก้ปัญหาตามช่องทางของวุฒิสมาชิกรัฐสภาต่อไป
ผลกระทบฤดูฝน! เจ้าของร้านกาแฟริมชายหาดชลาทัศน์ตัดพ้อยอดตกลูกค้าหาย
เจ้าของร้านกาแฟริมชายหาดชลาทัศน์เผยได้รับผลกระทบเต็ม ๆ ช่วงฝนตก เพราะร้านอยู่ชายทะเลชายหาดชลาทัศน์ เวลาฝนตกลูกค้าจะน้อยเพราะนั่งไม่ได้ ซึ่งมีผลต่อรายได้ยอดตก ลูกค้าหาย แต่ก็ต้องยอมรับสภาพเพราะต้องเจอทุกปี
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ที่ร้านกาแฟริมชายหาดชลาทัศน์ เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ในช่วงนี้สภาพอากาศทางภาคใต้ฝั่งตะวันออก ขณะนี้เป็นฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทะเลจะมีคลื่นลมแรง มีฝนตกและลมกรรโชกแรงทุกวัน ซึ่งจะมีผลกระทบกับร้านค้าบริเวณริมชายหาดชลาทัศน์ที่เป็นร้านค้ากลางแจ้งและประสบปัญหาแบบนี้ทุกปี จะมีฝนตกต่อเนื่อง ได้รับผลกระทบเต็มๆ เพราะร้านอยู่ชายทะเลชายหาดชลาทัศน์ เวลาฝนตกลูกค้าจะน้อย เพราะนั่งไม่ได้จะเปียกฝน โดยสั่งกาแฟนั่งกินในรถยนต์แล้วก็จะกลับ ช่วงมรสุมฯลมแรง ลูกค้านั่งค่อนข้างลำบาก ซึ่งมีผลต่อรายได้ยอดตก ลูกค้าหาย แต่ก็ต้องยอมรับสภาพ เพราะเป็นฤดูของเขา ที่ต้องเจอทุกปี
ทางร้านเวทนาคาเฟ่ กาแฟสดโรบัสต้า อ.สะบ้าย้อย เจอฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกได้รับผลกระทบเต็มๆเช่นเดียวกัน เวทนาเหมือนชื่อร้านเลย เนื่องจากเป็นร้านกลางแจ้ง วางโต๊ะเก้าอี้ ลูกค้าก็นั่งไม่ได้ รถตู้ที่ทำเป็นรถขายกาแฟก็รั่วเปียกอย่างเดียว มาขาย ก็จะต้องวัดดวงว่าเจอฝนหรือเปล่า โดยเฉพาะช่วง 06:00 น ถึง 10:30 น วันนี้เจอฝนจริงๆ
คุณวิชัย ไชยทิศ เจ้าของร้านเวทนาคาเฟ่ กล่าวถึงผลกระทบในช่วงหน้าฝนว่า ผลกระทบเยอะเพราะว่า มันเป็นร้านกลางแจ้ง วางโต๊ะเก้าอี้ไม่ได้ ลูกค้าก็นั่งไม่ได้ รถก็รั่วเปียกอย่างเดียว วันนี้ก็วัดดวงมา เห็นว่าฝนตกปอยๆนิดๆ ก็เลยออกมา ก็มีลูกค้าเข้ามาก็ขายได้ วันนี้เจอฝนเต็มๆเลยรับผลกระทบ 100 เปอร์เซ็นต์
ตร.ตกใจเจองูเหลือมใกล้บ้านพัก สภ.นาทวี แจ้งทีมอสรพิษวิทยาภาคใต้เข้าช่วยจับด่วน
ตร.ตกใจเจองูเหลือมเลื้อยมาติดตาข่ายอยู่ที่รั้วลวดหนามที่กั้นสระน้ำใกล้บ้านพัก สภ.นาทวี หมู่ 2 ต.คลองทราย อ.นาทวี จ.สงขลา แจ้งทีมอสรพิษวิทยาภาคใต้เข้าช่วยจับด่วน
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ขณะที่ นายทวีศักดิ์ บุญเศษ, ว่าที่ ร.ต. ไกรวิชญ์ อ่อนมนิล, น.ส. กันต์กนิษฐ์ บัวทอง เจ้าหน้าที่ทีมอสรพิษวิทยาภาคใต้ พร้อมด้วย กู้ชีพ อบต.สะท้อน อบต.คลองทราย รับโทรศัพท์แล้วตกใจนึกว่าต้องคดี เพราะโทรมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาทวี แต่พอรับสายปรากฏว่ากลายเป็นขอช่วยให้เจ้าหน้าที่ทีมอสรพิษฯ มาช่วยจับงูเหลือมตัวใหญ่ที่เลื้อยมาติดตาข่ายอยู่ที่รั้วลวดหนามที่กั้นสระน้ำใกล้บ้านพัก สภ.นาทวี หมู่ 2 ต.คลองทราย อ.นาทวี จ.สงขลา ขอให้ช่วยนำอุปกรณ์ในการจับงูมาช่วยจับงูเหลือมด้วย
หลังจากที่ นายทวีศักดิ์ฯ ได้รับแจ้ง จึงพร้อมด้วยทีมงานฯ รุดเข้าตรวจสอบตาข่ายที่รั้วลวดหนามที่กั้นสระน้ำไกล้บ้านพักทันที เมื่อไปถึงพบงูเหลือมตัวใหญ่ ติดตาข่ายไม่สามารถเลื้อยไปไหนมาไหนได้ เจ้าหน้าที่ฯจึงรีบจับหัวงูเหลือมไว้ได้ แล้วใช้กรรไกรทำการตัดตาข่ายที่งูเหลือมติดอยู่ โดยใช้เวลาพักหนึ่งก็สามารถจับงูเหลือมตัวใหญ่ไว้ได้ นำมาวัดได้ยาวประมาณ 4.20 เมตร หนักถึง 20 กิโลกรัม จึงรีบนำใส่กระสอบเตรียมนำไปปล่อยคืนสู่ป่าธรรมชาติที่อยู่ห่างไกลบ้านเรือนผู้คนเพื่อความปลอดภัยต่อไป
ฝนตกหนักส่งผลกระทบพ่อค้าขายปาท่องโก๋เมืองสงขลา ทำรายได้หาย 30 เปอร์เซ็นต์
ฝนตกฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือส่งผลกระทบพ่อค้าขายปาท่องโก๋ต้องลดปริมาณลง ฝนตกลูกค้าลด รายได้หายไป 30 เปอร์เซ็นต์ แต่แม้ฝนตกก็จำเป็นต้องออกมาขายเพราะทำของไว้แล้ว อีกทั้งลูกค้าเจ้าประจำที่มารับไปขายร้านน้ำชากาแฟก็ต้องมารับปาท่องโก๋ไปขายทุกวัน
วันนี้ 21 พฤศจิกายน 2567 ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก ประกาศฉบับที่ 5 (55/2567) เรื่อง คลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทยและฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออก (ระหว่างวันที่ 21-23 พฤศจิกายน 2567) มรสุมตะวันออก เฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมบริเวณอ่าวไทยและภาคใต้ ลักษณะ เช่นนี้ ทำให้บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกยังคงมีฝนตกหนักหลายพื้นที่และมีฝนหนักมากบางแห่ง ในช่วงวันที่ 21-23 พฤศจิกายน 2567 ดังนี้ มีฝนหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีฝนหนักหลายพื้นที่และมีฝนหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
ขอให้ประชาชนระวังอันตรายที่เกิดจากฝนตกหนัก ฝนที่ตกสะสม และลมกระโชกแรง ซึ่งอาจ ทำให้พื้นที่เสี่ยงภัยเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และดินโคลนถล่มในพื้นที่ลาดเชิงเขา สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยง บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย
และในพื้นที่เมืองสงขลามีฝนตกตลอดทั้งคืนต่อเนื่องมาจนถึงเช้าวันนี้ (21 พ.ย.67) ก็ยังมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือของภาคใต้ ส่งผลกระทบกับพ่อค้าขายปาท่องโก๋ นายสนั่น –นางสุมาลี พวงแก้ว อายุ 63 ปี สองสามีภรรยาที่ยึดอาชีพทอดปาท่องโก๋ขายมานานกว่า 12 ปี บริเวณถนนเตาอิฐ เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา เนื่องจากเจอฝนตกหนัก ลูกค้าลดจำนวนลงไม่ออกมาซื้อปาท่องโก๋ เพราะฝนตก ทำให้ต้องลดปริมาณการทำแป้งลง ฝนตกลูกค้าลด รายได้หายไป 30% แต่ถึงแม้ว่าฝนจะตกหรือน้ำจะท่วมก็จำเป็นต้องออกมาขายเพราะทำของไว้แล้ว อีกทั้งลูกค้าเจ้าประจำที่มาซื้อไปขายที่ร้านขายน้ำชากาแฟในช่วงเช้าก็ต้องมารับปาท่องโก๋ไปขายทุกวัน ปรกติจะออกมาทอดปาท่องโก๋ขายตั้งแต่เวลา 04.00 น.ทุกวัน
โดยปาท่องโก๋ทอด สองสามีภรรยาช่วยกันทำ นายสนั่น จะเป็นคนปั้นแป้งและบิดเป็นเกลียวลงกระทะทอด ส่วนนางสุมาลีก็ทำหน้าที่ทอด คอยใช้ตะเกียบพลิกกลับปาท่องโก๋ในกระทะเพื่อให้สุกทั่วตัวและกรอบนอกนุ่มใน มีความอร่อยในตัวอยู่แล้วเนื่องจากทำขายมานานกว่า 12 ปี ทั้งแบบเป็นเกลียวและเป็นแบบซาลาเปา จนเป็นที่รู้จักของชาวเมืองสงขลาเป็นอย่างดี หากจะกินปาท่องโก๋ทอดร้อนๆในตอนเช้าก็ต้องมาซื้อตรงนี้เท่านั้น โดยขายตัวละ 2 บาท ทั้งแบบเป็นเกลียวและแบบซาลาเปา
นายสนั่น พวงแก้ว กล่าวว่า ขายปาท่องโก๋หน้าฝน ลำบาก มีผลกระทบมาก ก็ต้องแก้ปัญหาโดยทำน้อยลงมาหน่อย ลูกค้าลดลง ถ้าฝนตกหนักๆก็ขายยากเพราะลูกค้าไม่ออกมาซื้อ โดยออกมาขายตั้งแต่ตี 4 ก็จะขายหมดประมาณ 8 โมงเช้า ในช่วงหน้าฝน ฝนตกน้ำท่วมก็จะมาทุกวัน เพราะว่า เราทำของทำแป้งไว้แล้วลูกค้าน้อยก็ไม่เป็นไร
รวมคลิป
Live : [2] #แฟลชม็อบหาดใหญ่ ร่วมคัดค้านประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และการจับกุมผู้ชุมนุม จากหน้าค่ายเสนาณรงค์
Live : #แฟลชม็อบหาดใหญ่ ร่วมคัดค้านประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และการจับกุมผู้ชุมนุม จากหน้าค่ายเสนาณรงค์
สถานการณ์ - ปรากฎการณ์
“พิพัฒน์” จับมือ 13 บริษัทจัดหางานชั้นนำ เพิ่มอัตราการจ้างงานทุกช่วงวัย กว่า 8 แสนคนต่อเดือน ในเว็บไทยมีงานทำ
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เวลา 14.00 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน หารือ ร่วมกับ 13 บริษัทจัดหางานชั้นนำของไทย ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ผมพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงานยินดีอย่างยิ่งที่ได้หารือร่วมกับ 13 บริษัทจัดหางานฯ ในวันนี้ เรื่องการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อเพิ่มการบรรจุงานในตำแหน่ง Skilled Labour ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มการจ้างงาน ฝึกงาน ให้กับทุกช่วงวัย กว่า 800,000 อัตรา ต่อเดือน ในเว็บไทยมีงานทำ และขอความร่วมมือทั้ง 13 บริษัทจัดหางานฯ ได้แก่ บริษัทจัดหางาน จ๊อบบีเคเค ดอท คอม จำกัด บริษัทจัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทจัดหางาน จ็อบท๊อปกัน จำกัด บริษัทจัดหางาน จ็อบ มายเวย์จำกัด บริษัท อเด็คโก้ คอนซัลติ้ง จำกัด บริษัทจัดหางาน เพอร์ซอลเคลลี่ เอชอาร์เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทจัดหางาน สเกาท์ เอาท์ จำกัด บริษัทจัดหางาน แมนพาวเวอร์ โปรเฟสชั่นแนล แอนด์ เอ็กเซ็กคูทีฟ จำกัด บริษัทจัดหางาน อินเทิร์นชิพส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทจัดหางาน เก็ทลิงส์ จำกัด บริษัทจัดหางาน กู๊ด จ็อบ โปรเพสซัลแนล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทจัดหางาน คีย์แมน จำกัด และบริษัทจัดหางาน จ๊อบไทย จำกัด ซึ่ง บริษัทเหล่านี้ เปิดตำแหน่งการจ้างงาน ฝึกงานมีตำแหน่งงานตั้งแต่ ทักษะเริ่มต้น และทักษะสูงรวมถึงตำแหน่งงานผู้บริหาร ในทุกภาคอุตสาหกรรมรวม 800,000 ตำแหน่ง โดย จะมารวบรวมไว้ที่ เว็บไซต์ไทยมีงานทำของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
อีกทั้งยังเชิญชวนร่วมงาน JOB EXPO THAILAND 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2568 โดยในครั้งนี้จะมีรูปแบบการจัดงานที่ตรงใจกับกลุ่มคนรุ่นใหม่เพิ่มมากขึ้น และปรับตำแหน่งงานให้ทันสมัย หลากหลายเข้ากับกลุ่มผู้สมัครงานรวมถึง เข้าร่วมงาน Mini Job Expo Thailand ใน 11 จังหวัด ทั่วภูมิภาค ทั่วประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไป และนักศึกษาในต่างจังหวัดมีโอกาสเข้าถึงตำแหน่งงาน โดยเราจะเพิ่มการพัฒนาskill แรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะทักษะด้านภาษา และเทคโนโลยี
"ความร่วมมือดังกล่าว จะก่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งต่อแรงงานและภาครัฐ หากเราสามารถเดินไปด้วยกันได้ ก็จะทำให้สามารถหางานและสร้างรายได้ให้กับประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย
ขณะที่ คณะบริษัทจัดหางานที่ได้รับใบอนุญาตจัดหางานให้คนหางานทำงานในประเทศ ตอบรับพร้อมยินดีให้การสนับสนุนด้านต่างๆ ทั้งด้านการส่งต่อสถิติข้อมูลให้กรมการจัดหางาน การร่วมกันประชาสัมพันธ์ และร่วมงาน JOB EXPO THAILAND 2025 เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์ จากการมีงานทำในครั้งนี้" นายพิพัฒน์ กล่าว
ตลาดชุมชนริมถนนเตาอิฐ จ.สงขลา เจอฝนตกทุกวัน ลูกค้าหายรายได้หดกระทบผู้ค้า
ตลาดชุมชนริมถนนเตาอิฐ เมืองสงขลา เจอฝนตกทุกวัน ลูกค้าหายรายได้หด อุตุใต้ออกประกาศรอบใหม่ ฝนตกหนักคลื่นลมแรง 25-30 พฤศจิกายน 2567 พ่อค้าแม่ค้าตลาดชุมชนแห่งนี้ก็จะได้รับผลกระทบต่อไปอีกเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก ประกาศฉบับที่ 2 (59/2567) เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกและคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย (ระหว่างวันที่ 25-30 พฤศจิกายน 2567)มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ประกอบกับมีหย่อม ความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณมหาสมุทรอินเดีย และในช่วงวันที่ 27-30 พฤศจิกายน 2567 บริเวณความกด อากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศ ไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกยังคงมีฝนตกชุก และมีฝนหนักถึงหนักมาก ดังนี้
ช่วงวันที่ 25-26 พฤศจิกายน 2567 มีฝนหนักหลายพื้นที่บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ช่วงวันที่ 27-30 พฤศจิกายน 2567 มีฝนหนักหลายพื้นที่และมีฝนหนักมากบางแห่งบริเวณจังหวัด นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
ขอให้ประชาชนระวังอันตรายที่เกิดจากฝนตกหนัก ฝนที่ตกสะสม และลมกระโชกแรง ซึ่งอาจทำให้พื้นที่ เสี่ยงภัยเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และดินโคลนถล่มในพื้นที่ลาดเชิงเขา อย่างต่อเนื่อง
เตือนเกษตรกรชาวสวนมะพร้าว จ.สงขลา เฝ้าระวังหนอนหัวดำมะพร้าวระบาด
เตือนเกษตรกรชาวสวนมะพร้าว เฝ้าระวังหนอนหัวดำมะพร้าวระบาด ในพื้นที่ของ จ.สงขลา ล่าสุดพบการระบาดแล้วในพื้นที่ปลูกมะพร้าวกว่า 2,000 ไร่
ตามที่ได้เกิดการระบาดของหนอนหัวดำ มากัดกินใบมะพร้าวในสวนมะพร้าว บริเวณเขตคาบสมุทรสทิงพระ และเขตอื่นๆ ในพื้นที่ จ.สงขลา ทำให้พี่น้องเกษตรกรได้รับความเดือดร้อน และต้นมะพร้าวเสียหายจำนวนมาก ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ได้ลงพื้นที่เพื่อหาแนวทาง และวิธีการที่จะยับยั้งหนอนหัวดำ ร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่จากกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร พี่น้องเกษตรกร อาสาเกษตร องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา รวมถึงเกษตรอำเภอกระแสสินธุ์ ซึ่งปัจจุบันจากข้อมูลพบว่า จ.สงขลา มีการปลูกมะพร้าวประมาณ 20,000 ไร่ และเกิดการระบาดของหนอนหัวดำไปแล้วกว่า 2,000 ไร่ โดยเฉพาะในพื้นที่ 4 อำเภอคาบสมุทรสทิงพระ ที่พบมากกว่าพื้นที่อื่น และได้สรุปวิธีกำจัดหนอนหัวดำได้หลายวิธี เช่น การใช้สารเคมี การใช้แตนเบียน และการบำรุงดูแลรักษาสวนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
นายมโน หะยะมิน นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองสงขลา ได้ลงพื้นที่ทำการตรวจสอบ และแนะนำให้เกษตรกร ที่สวนมะพร้าวถูกหนอนหัวดำมะพร้าวทำลาย ทำการตัดทางใบมะพร้าวที่ถูกหนอนหัวดำมะพร้าวกัดกินใบ นำไปเผาทำลาย พร้อมกันนี้ ทางสำนักงานเกษตรอำเภอเมืองสงขลา จะขอสนับสนุนแตนเบียน ซึ่งเป็นแมลงศัตรูธรรมชาติของหนอนหัวดำมะพร้าว มาปล่อยเพื่อจัดการหนอนหัวดำมะพร้าวอีกด้วย
ทั้งนี้ เกษตรกรชาวสวนมะพร้าวจะต้องเฝ้าระวัง และตรวจสอบสวนมะพร้าวของตนเองสม่ำเสมอ ซึ่งหนอนหัวดำมะพร้าวจะเข้ากัดกินผิวใบแก่ของใบมะพร้าว หากระบาดรุนแรงก็จะกัดกินทำลายผิวผล ทำให้ต้นมะพร้าวชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก หากพบการระบาดของหนอนหัวดำมะพร้าว สามารถแจ้งให้สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองสงขลาทราบโดยด่วน เพื่อตรวจสอบและให้คำแนะนำช่วยเหลือต่อไป สอบถามเพิ่มเติมโทรศัพท์หมายเลข 074-313093
ชาวบ้านใน จ.สงขลา ยื่นหนังสือร้องทุกข์ เดือนร้อนจากกลิ่นเหม็นโรงงานคัดแยกขยะ
ตัวแทนชาวบ้านจาก 2 หมู่บ้านใน ต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา จ.สงขลา เดินทางยื่นหนังสือให้กับสมาชิกวุฒิสภา ร้องเรียนถึงความเดือนร้อนจากกลิ่นเหม็นของโรงงานคัดแยกขยะใน อ.คลองหอยโข่ง เผยร้องไปยังฝ่ายปกครองหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล
วานนี้ (23 พ.ย.) ที่ศูนย์ประสานงานสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสงขลา ถนนไทยอาคาร อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้มีตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 4 และหมู่ 7 ต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา จ.สงขลา เดินทางมาเพื่อยื่นหนังสือให้กับ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล ตัวแทนสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสงขลา โดยตัวแทนชาวบ้านทั้ง 2 ตำบล ประมาณ 200 ครัวเรือน ซึ่งได้ลงชื่อในหนังสือร้องเรียน โดยทั้งหมดแจ้งว่าได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่นเหม็นของขยะ จากโรงงานคัดแยกขยะ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.คลองหอยโข่ง อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา และเป็นพื้นที่รอยต่อกับ ต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา จ.สงขลา โดยโรงงานดังกล่าวเป็นโรงงานคัดแยกขยะ ที่รับซื้อมาจากเทศบาล และ อบต.ต่างๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อนำมาคัดแยกและส่งขายให้กับผู้ซื้อ สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านใน ต.ท่าโพธิ์ ทั้ง 2 หมู่บ้านกว่า 200 หลังคาเรือน โดยมาจากกลิ่นเหม็นเน่าของกองขยะ และส่งกลิ่นรบกวนตลอด 24 ชั่วโมง สร้างความเดือดร้อน รำคาญใจและเชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพ และอนามัยของทุกคน
โดยตัวแทนของผู้ร้องเรียน กล่าวว่า ได้นำเรื่องความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นไปร้องทุกข์กับหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่มาแล้ว เช่น อบต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา แต่เจ้าหน้าที่อ้างว่าโรงงานคัดแยกขยะดังกล่าวไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของ อบต.ท่าโพธิ์ จึงไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ สั่งการ จึงทำได้เพียงประสานงานกับ อบต.คลองหอยโข่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานคัดแยกขยะที่เป็นตัวการของกลิ่นเหม็นที่เกิดขึ้น จึงทำให้ชาวบ้านใน 2 หมู่บ้านต้องทุกข์ทรมานกับกลิ่นเหม็นเน่าที่เกิดขึ้น ดังนั้น จึงได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียน ร้องทุกข์กับสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสงขลา เพื่อให้การช่วยเหลือ
ด้านนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล ในฐานะตัวแทนของสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสงขลา ได้รับหนังสือร้องเรียน พร้อมกล่าวกับตัวแทนชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่นเหม็นของโรงงานคัดแยกขยะว่า จะได้นำความเดือดร้อนของชาวบ้านที่เกิดขึ้นไปแก้ปัญหาตามช่องทางของวุฒิสมาชิกรัฐสภาต่อไป
เคียงข่าว - วิเคราะห์
รพ.สงขลานครินทร์ประสบความสำเร็จรักษาโรคอ้วนทุพพลภาพด้วยนวัตกรรมการผ่าตัดกระเพาะอาหารและลำไส้
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ประสบความสำเร็จ ในการรักษาโรคอ้วนทุพพลภาพ สกัดโรคเรื้อรังที่คร่าชีวิตผู้ป่วยโรคอ้วน ด้วยนวัตกรรมการผ่าตัดกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยวิธีส่องกล้องที่ทันสมัย
ปัจจุบันการเจ็บป่วยและเสียชีวิต (ก่อนวัยอันควร) ของคนไทยมีสาเหตุมาจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable Diseases; NCDs) และปัจจัยเสี่ยงที่เป็นผลจากปัญหาพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสมเพิ่มมากขึ้น การศึกษาภาวะโรคจากปัจจัยเสี่ยงของประชากรไทย พบว่า “โรคอ้วน” เป็นปัจจัยเสี่ยงและภัยเงียบสำคัญ อันดับ 1 และอันดับ 6 ของการสูญเสียปีสุขภาวะในหญิงไทยและชายไทย โดยผู้ป่วยโรคอ้วนในประเทศไทย มีจำนวนมากขึ้น และกำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขอยู่ในขณะนี้ จากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติได้รายงานผลการสำรวจเมื่อไม่นานมานี้พบว่าในกลุ่มประชากรอายุ 11 ปีขึ้นไป ซึ่งมีทั้งหมด 55 ล้านคน กำลังประสบปัญหาภาวะโรคอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐานประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งติดอันดับ 5 ใน 14 ประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก และผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยพบว่ามีผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนสูงถึง ร้อยละ 36.5 และพบคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มากกว่า 1 ใน 3 มีภาวะน้ำหนักเกิน (ดัชนีมวลกาย หรือ Body mass index; BMI ตั้งแต่ 25 กิโลกรัม/เมตร2 ขึ้นไป) ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า และพบผู้ที่มีภาวะอ้วน (BMI ตั้งแต่ 30 กิโลกรัม/เมตร2 ขึ้นไป) มากถึง 1 ใน 10 คน สำหรับภาคใต้ จากผลสำรวจพบว่าอุบัติการณ์ความชุกของภาวะอ้วนโดยรวม อยู่ที่ร้อยละ 34 โดยมีแนวโน้มผู้ป่วยโรคอ้วนสูงขึ้นทุกปี นอกจากนี้ยังพบว่าความอ้วนมีผลเสียทำให้เกิดโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคข้อเข่าเสื่อม ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ เป็นต้น ซึ่งโรคเรื้อรังเหล่านี้จำเป็นต้องให้การรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะมีผลต่อคุณภาพชีวิตและความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมาก ซึ่งคาดการณ์ว่าในปัจจุบันต้นทุนรวมต่อสังคมของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนมีมูลค่าสูงกว่า 12,142 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.13 ของ GDP โดยแยกเป็นต้นทุนทางตรงจากค่ารักษาพยาบาลมีมูลค่าประมาณ 5,584 ล้านบาท ในขณะที่ต้นทุนทางอ้อมจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและการขาดงานมีมูลค่ารวม 6,358 ล้านบาท
ผศ.นพ.กำธร ยลสุริยันวงศ์ ประธานศูนย์ความเป็นเลิศด้านการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ปัญหาโรคอ้วน กำลังเป็นปัญหาทางสังคมไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่า 1 ใน 10 คนของประชากรไทยในขณะนี้ มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน โรคอ้วนกลายเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังต่าง ๆ มากมาย แต่เมื่อได้ลดน้ำหนักตัวลงแล้ว โรคต่าง ๆ เหล่านี้จะค่อย ๆ หายไป โรคอ้วน ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ โรคนี้สามารถทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย คนอ้วนกลายเป็นคนที่ไม่ต้องการของสังคม บางคนอาจมองว่าความอ้วนนั้น ก่อให้เกิดปัญหาด้านรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงโรคอ้วนเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านกระดูกและข้อ เช่น โรคเก๊าท์ ปวดเข่า ปวดขา หรือปัญหาเกี่ยวกับภาวะดื้อต่ออินซูลิน โรคเบาหวานและไขมันในเส้นเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง และในบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ บางครั้งแพทย์พยายามรักษาโรคเรื้อรังต่าง ๆ รักษาเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล แต่เมื่อเริ่มรักษาโรคอ้วนแทน กลับทำให้โรคเรื้อรังเหล่านั้นจางหายไปไม่กลับมาเป็นซ้ำ เข้าสู่สังคมได้อย่างเป็นปรกติสุข มีหน้าที่การงานและอาชีพที่มั่นคงและได้รับการยอมรับจากสังคม
โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (มอ.)ได้ให้ความสำคัญของการส่งเสริมป้องกันและดูแลรักษาโรคอ้วนอย่างจริงจังและได้จัดตั้งทีมดูแลส่งเสริมป้องกันและรักษาโรคอ้วนขึ้น โดยมีทีมแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ สหสาขา ช่วยเหลือดูแลอย่างครบวงจรแบบองค์รวม จนถึงปัจจุบันได้เติบโตเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (Songklanagarind Excellence Center For Obesity and Metabolic Surgery (SECOMS) ซึ่งได้รับการรับรองว่าเป็นสถาบันที่เป็นเลิศด้านการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนจากสถาบัน Surgical Review Corporation (ประเทศสหรัฐอเมริกา) และเป็นแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(Southeast Asia) ซึ่งเป็นทีมสหสาขาวิชาที่กำหนดแผนรักษาของผู้ป่วยแต่ละราย โดยให้ความรู้แก่ผู้ป่วยก่อนผ่าตัดระหว่างผ่าตัด และหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อรักษาโรคอ้วน ซึ่งประกอบด้วย ศัลยแพทย์ผ่าตัดโรคอ้วน ศัลยแพทย์ตกแต่ง อายุรแพทย์หน่วยต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม อายุรแพทย์หน่วยโภชนศาสตร์ อายุรแพทย์โรคปอด อายุรแพทย์ระบบทางเดินอาหาร วิสัญญีแพทย์ จิตแพทย์ โสตศอนาสิกแพทย์ พยาบาล ทีมงานโภชนาการ ทีมงานสิทธิประโยชน์ผู้ป่วย และทีมงานกายภาพบำบัด ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถาบันชั้นนำของประเทศในการรักษาโรคอ้วนอย่างครบวงจร ซึ่งจนถึงปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคอ้วนทุพลภาพหรือโรคอ้วนอันตราย เข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัดไปแล้วมากกว่า 1,000 ราย
ปัจจุบันการผ่าตัดโรคอ้วนจะทำโดยการผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopic surgery) ทั้งหมด โดยจะมีเพียงรูแผลเล็ก ๆ ที่หน้าท้องประมาณ 4 - 5 รู ขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัด ซึ่งจะทำให้ความเจ็บปวดภายหลังการผ่าตัดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิด ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วกว่า และเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า ชนิดการผ่าตัดมีอยู่หลายแบบด้วยกัน แต่ที่เป็นมาตรฐานและเป็นที่นิยม และมีทำในโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ได้แก่
การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Sleeve Gastrectomy) ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดกระเพาะอาหารส่วนใหญ่ให้เหลือกระเพาะอาหารประมาณ 20% หรือเหลือความจุประมาณ 100 - 200 มิลลิลิตร โดยเหลือไว้เป็นลักษณะคล้ายท่อแป๊บหรือรูปกล้วย อาหารจะผ่านลงมาสู่กระเพาะอาหารที่เหลือและผ่านไปยังลำไส้เล็กได้ตามปกติ เพียงแต่มีความจุลดลงเท่านั้น ผู้ป่วยจะสามารถรับประทานอาหารได้เพียงไม่กี่คำ ก็จะรู้สึกแน่น และอิ่มเร็วขึ้น การผ่าตัดชนิดนี้มีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนค่อนข้างต่ำกว่า การผ่าตัดแบบบายพาส แต่ประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักค่อนข้างดี ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ดีเท่าการผ่าตัดแบบบายพาสก็ตาม
การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารร่วมกับการลัดทางเดินอาหาร หรือ การผ่าตัดบายพาส(Gastric Bypass) ศัลยแพทย์จะทำการตัดกระเพาะอาหารส่วนต้นที่ต่อลงมาจากหลอดอาหาร ให้เหลือเป็นกระเปาะขนาดเท่าลูกปิงปอง หรือลูกกอล์ฟ ซึ่งมีความจุประมาณ 20-30 มิลลิลิตร หลังจากนั้นก็ตัดเอาลำไส้เล็กส่วนกลาง มาต่อเข้ากับกระเปาะกระเพาะอาหารที่ตัดไว้ และนำปลายลำไส้เล็กส่วนต้นมาต่อเข้ากับลำไส้เล็กส่วนกลาง อาหารจะผ่านลงมาสู่กระเปาะกระเพาะอาหารซึ่งมีขนาดเล็ก จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น หลังจากนั้นอาหารจะเคลื่อนผ่านไปยังลำไส้เล็กที่นำมาต่อไว้ อาหารจะยังไม่สัมผัสกับน้ำย่อยที่สร้างมาจากกระเพาะอาหารส่วนที่เหลือ และที่สร้างมาจากตับและตับอ่อน จนกว่าจะผ่านมาถึงบริเวณที่ลำไส้เล็กมาต่อกัน ซึ่งช่วงที่อาหารยังไม่ถูกย่อยโดยน้ำย่อย ลำไส้ก็จะไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้ นั่นคือกลไกลดการดูดซึมสารอาหาร
การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารร่วมกับการลัดทางเดินอาหาร แบบ เซดิ-เอส หรือ เซดิส (Single anastomosis duodenoileal bypass with sleeve gastrectomy: SADI-S) คือการผ่าตัดที่รวมเอาเทคนิคแบบ สลีฟ และบายพาสเข้าด้วยกัน ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดกระเพาะอาหารส่วนใหญ่ให้เหลือกระเพาะอาหารประมาณ 20% หรือเหลือความจุประมาณ 100 - 200 มิลลิลิตร เช่นเดียวกับการทำ sleeve gastrectomy และการทำบายพาสด้วยเทคนิคที่เรียกว่า duodenal switch โดย ตัดแยกลำไส้เล็กส่วน duodenum ตรง 2-3 ซม.จาก หูรูดกระเพาะอาหารส่วนล่าง (pylorus) แล้วนำไปต่อกับลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) ให้อาหารไม่ผ่านส่วนอื่นของลำไส้เล็กส่วนต้นและส่วนกลาง (duodenum และ jejunum) เพื่อลดการดูดซึมสารอาหาร และยังกระตุ้นการหลั่ง gut hormone หลายตัวด้วยกัน เช่น GLP-1, PYY เป็นต้น ซึ่งจะทำให้รู้สึกอิ่ม และยังช่วยกระบวนการ glucose homeostasis ให้ดีขึ้นด้วย ซึ่งหมายถึงทำให้ผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีโรคเบาหวานร่วมด้วย สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้นหรือหายจากโรคเบาหวานได้ นอกจากนี้ยังมีกลไกอื่น ๆ ที่ช่วยในการลดน้ำหนัก และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เช่น change in bile acid circulation, change in gut microbiota เป็นต้น ด้วยการรักษาเทคนิคนี้ จะสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าวิธีอื่น และโอกาสที่โรคร่วมจะหายมีสูงกว่าวิธีอื่น ๆ
ด้าน **อ.นพ.สิริพงศ์ ชีวธนากรณ์กุล ที่ปรึกษาศูนย์ความเป็นเลิศด้านการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ** กล่าวว่า นิยามของภาวะอ้วนนั้น ในทางการแพทย์ส่วนใหญ่จะมีการแบ่งระยะของความอ้วนในหลายระดับด้วยกัน โดยมักอ้างอิงจากตัวเลขค่าหนึ่งที่เรียกว่า ค่าดัชนีมวลกาย หรือ ค่า Body Mass Index (BMI) โดยคำนวณได้จากสูตรดังนี้ ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนัก (กิโลกรัม; kg) / ส่วนสูง2 (เมตร2; m2)
ซึ่งระดับความอ้วนที่แบ่งตาม WHO นั้น จะนิยามความอ้วนระดับที่ 1 เมื่อค่าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 30 สำหรับระดับที่ 2 เมื่อค่าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 35 และระดับที่ 3 เมื่อค่าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 40 ส่วนในคนเอเชียจะนิยามความอ้วนจะน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนยุโรปหรืออเมริกา โดยเมื่อมีค่าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 25 ก็ถือว่าอ้วนแล้ว
หากกล่าวถึงระดับความอ้วนที่อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ ก็จะมีผลกระทบตั้งแต่เริ่มมีภาวะน้ำหนักเกินแล้ว โดยหากค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 25 ควรปฏิบัติตนโดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะถ้าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 30 ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้สูง จึงควรปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดและควรเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์หรือนักโภชนาการร่วมกัน
ประโยชน์ของการรักษาโรคอ้วนโดยวิธีการผ่าตัด ได้แก่
น้ำหนักตัวลดลง (Weight loss) เป้าหมายหลักนั้นเพื่อที่จะลดน้ำหนักให้กลับมาสู่ระดับปกติหรือที่ค่าดัชนีมวลกายน้อยกว่า 25 กิโลกรัม/เมตร2 (BMI < 25 kg/m2) น้ำหนักจะลดลงมากน้อยเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของการผ่าตัด (Type of bariatric surgery) และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารและการออกกำลังกายของผู้ป่วยเป็นหลัก ส่วนใหญ่แล้วค่าน้ำหนักตัวที่ลดลงจะคิดเป็นร้อยละของน้ำหนักตัวที่ลดลง (Percentage of total weight lost) ทั้งนี้โดยทั่วไป การผ่าตัดสามารถทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ เฉลี่ยประมาณร้อยละ 25 – 40 ของน้ำหนักตัวตั้งต้น
สุขภาพดีขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ (Physical & Mental Health Improvement) ภายหลังการรักษาโดยการผ่าตัด นอกจากสามารถลดน้ำหนักตัวลงแล้ว ยังทำให้โรคร่วมที่เกิดจากความอ้วน ดีขึ้นหรือหายขาดได้อีกด้วย และที่สำคัญคือ อายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้น และคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ในขั้นแรกของการรักษา แพทย์และนักโภชนากรจะพยายามให้คนไข้ลดน้ำหนักด้วยตนเองเป็นลำดับแรก ซึ่งแพทย์จะให้เวลาผู้ป่วยควบคุมน้ำหนักด้วยตนเองอย่างน้อย 3-6 เดือน และจะไม่แนะนำให้คนไข้หักโหมลดน้ำหนัก การลดน้ำหนักที่ถูกวิธี ต้องลดอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีหลักสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ “การควบคุมอาหาร” และ “การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม” แพทย์จะติดตามผลเป็นระยะเพื่อควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมไม่กลับมาอ้วนอีก แต่หากผู้ป่วยลดน้ำหนักด้วยวิธีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายไม่สำเร็จ การผ่าตัดในการรักษาโรคอ้วนก้เป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง
ถ้าพูดถึงการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วน ผู้ป่วยหลายคนอาจยังมีความกลัว แต่การผ่าตัดทั้งหมดทำได้โดยวิธีการส่องกล้องมีแผลเล็กๆ เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเปิดแผลกว้างเหมือนการผ่าตัดทั่วไป และการผ่าตัดดังกล่าวนั้น มีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนและเสียชีวิตน้อยมาก แต่อย่างไรก็ตามการลดความอ้วนด้วยวิธีการธรรมชาติ ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนัก ซึ่งนอกจากจะไม่ต้องกังวลกับภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัด
เปิดเบื้องลึกจับ “แป้ง นาโหนด” ขยายผลคดีเรียกค่าไถ่ 3 หนุ่มอินโดนีเซียที่พัทลุง
ตำรวจอินโดฯ ขยายผลจากการที่ตำรวจไทยบุกช่วยชาวอินโดฯ ที่ถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ที่ จ.พัทลุง พบความจริงเป็นตัวประกันแก๊งค์ค้ายาติดเงินค่าไอซ์ 2 ล้านบาท ส่งลูกน้องมาเป็นตัวประกันให้ “แป้ง นาโหนด” ขยายผลจนจับตัวได้
วันนี้ (30 พ.ค.) จากกรณีที่มีการจับกุมตัวนักโทษชายเชาวลิต ทองด้วง หรือ “แป้ง นาโหนด” ได้ที่ประเทศอินโดนีเซียนั้น มีรายงานว่า นายเชาวลิตยังคงมีพฤติกรรมค้ายาเสพติดข้ามชาติผ่านกลุ่มค้ายาเสพติดใน จ.พัทลุงและสงขลา มีลูกค้าเป็นชาวอินโดนีเซีย
ล่าสุดเมื่อต้นเดือน พ.ค. แป้ง นาโหนดได้ขายยาเสพติดให้แก็งค์ค้ายา ชาวอินโดนีเซีย ส่งยาไอซ์ล๊อตใหญ่ ให้ แต่พ่อค้าชาวอินโดนีเซียมีปัญหาเงินค่ายาไม่พอ ยังค้างอยู่ 2 ล้านบาท พ่อค้าชาวอินโดนีเซียจึงให้เพื่อนร่วมแก๊งค์ชื่อนายชาวาลาเป็นตัวประกัน โดยมีชาวไทยจาก จ.นราธิวาส 2 คน ทำหน้าที่เป็นล่าม และซัดทอดตำรวจหญิงประจำ บชภ.9 ว่าเป็นคนขับรถมารับคนทั้ง 3 ไปควบคุมตัวไว้ที่บ้านหลังหนึ่ง ใน ต.ท่าแค อ.เมือง จ.พัทลุง
แต่หลังจากที่สมุนของแป้ง นาโหนด ควบคุมตัวนาย ชาวาลา ไว้หลายวัน แก๊งค์ยาเสพติดยังจ่ายเงิน 2 ล้านบาทให้แป้งไม่ได้ นายชาวาลาต้องการให้สมุนของแป้งปล่อยตัว แต่สมุนของแป้งไม่ยอม จึงมีการจัดฉากว่าถูกจับตัวมาเรียกค่าไถ่ และถูกซ้อมทรมานพร้อมทั้งส่งคลิปให้น้องสาว ที่อยู่ในประเทศอินโดนีเซียให้โอนเงิน 2 ล้านบาทมาไถ่ตัว
น้องสาวนายชาวาลา โอนเงินมาเพียง 8 แสนบาท และได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียว่า พี่ชายถูกแก็งค์เรียกค่าไถ่ ที่ จ.พัทลุง จับกุมและซ้อมทรมาน โดยส่งโลเคชั่น สถานที่ควบคุมตัวที่ พัทลุง ให้ตำรวจด้วย ตำรวจอินโดฯ จึงประสานงานกับสถานฑูตอินโดในประเทศไทย และสถานกงสุลใหญ่อินโดฯ ใน จ.สงขลา มีการแจ้งให้ ผบช.ภ.9 พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ดำเนินการช่วยเหลือ ซึ่งตำรวจได้บุกไปช่วยออกมาจากบ้านพี่ของภรรยานายเชาวลิต เมื่อวันที่ 14 พ.ค.
หลังจากที่ตำรวจอินโดนีเซียทราบรายละเอียดถึงสาเหตุการจับตัวชาวอินโดฯ ว่า เป็นแก๊งค์ยาเสพติดข้ามชาติ จึงขยายผล จนพบว่าเกี่ยวพันกับนายเชาวลิต นักโทษที่หลบหนีคดีจากประเทศไทย และมีหมายจับอินเตอร์โพล (หมายแดง) จึงติดตามจับกุมได้ที่เกาะบาหลี ซึ่งนายเชาวลิตเดินทางจากบ้านพักที่เมืองเมดาน ไปท่องเที่ยวยังเกาะบาหลี
หลังจากการจับกุมจึงได้แจ้งให้ทางประเทศไทยให้ทราบ ส่วนจะมีการส่งตัวนายเชาวลิตมาให้ประเทศไทยเมื่อไหร่นั้น ต้องดูว่า อินโดนีเซีย จะดำเนินคดีกับแป้ง ในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองก่อนหรือไม่
เปิดโปงผลประโยชน์เว็บพนันออนไลน์ จาก “มินนี่” สู่เจ๊แหม่มและเสี่ย อ.อ่าง 'หัวเบี้ยมือเก็บส่วย' ที่โด่งดังในวงการตำรวจภาคใต้
โดย.. เมือง ไม้ขม
หลายวันก่อน ตำรวจ PCT จากส่วนกลาง นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ. ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการตำรวจ PCT นำกำลังจู่โจมเข้า ตรวจค้นห้องพักในคอนโดแห่งหนึ่ง พื้นที่เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “บ่อนการพนันออนไลน์” ขนาดใหญ่ในหาดใหญ่ ที่ชื่อว่า “วีนัส มาสเตอร์” (Venus Master) มีสมาชิกถึง 40,000 คน เชื่อมโยงกับเว็บไซต์การพนันออนไลน์ขนาดใหญ่ “betfixroya.com” และเครือข่ายที่เป็นของ “มินนี่” เจ้าแม่บ่อนออนไลน์ชื่อก้องประเทศ โดยในการเข้าทลายบ่อนออนไลน์ ที่เปิดอยู่ในคอนโดครั้งนี้ ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ 36 คน และหนึ่งในนั้นคือ “แหม่ม” ผู้ควบคุมดูแลวีนัส มาสเตอร์ ที่แหล่งข่าวระบุว่า มีเครือข่ายใน จ.สงขลาและใกล้เคียงถึง 700 กว่าสาขา
แหล่งข่าวยังได้เปิดโปงต่อไปว่า “วีนัส มาสเตอร์” ที่ตำรวจ PCT เข้าจับกุมแห่งนี้ ไม่ได้ส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บการพนันที่เป็นของ “นักการเมือง” ใน จ.สงขลา ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ไม่ใช่ของเสี่ย ก. เสี่ย ถ. และเสี่ย ป. แต่เป็นของ “คนมีสี” ที่เป็น “สีกากี” เป็นตำรวจรุ่น 61 ส่วนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “นายตำรวจคนดังของภาคใต้” และลูกน้องทั้ง 8 คน ที่เกี่ยวข้องกับเว็บหวยออนไลน์ของมินนี่หรือไม่ อย่างไร ก็ต้องเสาะหากันเอง
ที่สำคัญ “วีนัส มาสเตอร์” มีสาขาหรือเครือข่ายถึง 700 กว่าแห่ง กระจายอยู่ทั่วเหมือนกัแฟรนไชส์สินค้า ที่มีผู้สนใจเปิดบ่อนการพนันออนไลน์นำไปเปิดในตำบล อำเภอต่างๆ เพื่อเป็นแหล่งทำเงินในการหลอกลวงประชาชนให้เล่นการพนัน
และผู้ที่ถูกระบุว่า เป็น “หัวเบี้ย” หรือ “ผู้ที่เก็บส่วย” ให้หน่วยงานของรัฐ เพื่อมิให้ไปรบกวนแหล่งรับแทงหรือเล่นการพนันออนไลน์ ทั้งหมดคือ “เสี่ย อ.อ่าง” ที่ถูกขนามนามว่าเป็น “หัวเบี้ยอันดับหนึ่ง” ของวงการสีกากีใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นหัวเบี้ย ที่เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของนายตำรวจระดับนายพล จนถึงระดับนายพัน ในระดับกองบังคับการและ “นาย” ใน บชภ.9
มีการระบุว่า การจ่ายส่วยของเครือข่าย “วีนัส มาสเตอร์” ทั้ง 700 กว่าแห่ง ต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้เสี่ย อ อ่างแห่งละ 150,000 บาทต่อเดือน เพื่อไม่ให้ตำรวจและฝ่ายปกครองในพื้นที่เข้าไปจับกุมหรือแวะเวียนไป “รบกวน” ให้ยุ่งยาก เพราะบ่อนออนไลน์ ที่ถูกรบกวนจากเจ้าหน้าที่บ่อยๆ ลูกค้าจะไม่นิยม
วันนี้ “แหม่ม” และผู้ต้องหาทั้ง 36 คน ที่ตำรวจ PCT นำไปสอบสวนยังส่วนกลาง จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์หรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่เท่าที่ทราบ “เสี่ย อ.อ่าง” ผู้เป็นหัวเบี้ยและสาขาของ “วีนัส มาสเตอร์” ยังเปิดให้แทง โดยยังไม่ได้มีการจับกุมจากเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะตำรวจในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีบ่อนออนไลน์ตั้งอยู่ ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เหมือนกับว่า หน้าที่ในการจับกุมบ่อนการพนันออนไลน์เป็นหน้าที่ของตำรวจ PCT เพียงหน่วยเดียว หาใช่เป็นของตำรวจท้องที่และฝ่ายปกครองไม่
ประเด็นสำคัญคือ บ่อนออนไลน์ที่เปิดได้และเล่นได้ โดยไม่ถูกรบกวนจากตำรวจในพื้นที่นั้น ส่วนใหญ่หรือทั้งหมดก็ว่าได้ ต้องมีตำรวจระดับสูง ที่เป็นนายพลและนายพันเข้าไปเกี่ยวข้อง บางเครือข่ายเป็นเจ้าของร่วมกับนายทุน บางเครือข่ายเป็นผู้คุ้มครอง ในฐานะที่เป็นหุ้นลม เพื่อเรียกรับผลประโยชน์
ตัวอย่างของตำรวจ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีและหลบหนี เช่น “สารวัตรซัว” ที่ถูกอายัดทรัพย์ 7,000 ล้านบาท “ผกก.ไบร์ท” ที่ถูกดาราชื่อดังออกมาแฉว่า เป็นเจ้าของบ่อนออนไลน์ จนอื้อฉาวในวงการสีกากี และกลุ่มนายตำรวจ 8 นาย ที่เป็นคนใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่อยู่ระหว่างการถูกกล่าวหาจากตำรวจ PCT ในขณะนี้ และการจับกุมบ่อนพนันออนไลน์ “วีนัส มาสเตอร์” ใน อ.หาดใหญ่ครั้งล่าสุด ก็มีนายตำรวจระดับ พ.ต.ท. ที่เป็นนายตำรวจใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล ถูกกล่าวหา และไปมอบตัว เพื่อขอสู้คดีอยู่ด้วย
ประเด็นที่สังคมสงสัยและต้องการให้ตำรวจ PCT ดำเนินการให้สะเด็ดน้ำคือ กลุ่มผู้เป็นเจ้าของวีนัส มาสเตอร์ ที่มีข่าวว่า เป็นของตำรวจรุ่น 61 นั้นเป็นใคร และตำรวจ PCT ต้องสาวให้ถึง เพื่อเอามาเป็นผู้ต้องหา เพราะผู้ต้องหาทั้ง 36 คนที่จับได้ เป็นเพียงปลายแถว ที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานรับแทงในบ่อนเท่านั้น อีกทั้ง “แหม่ม” สาวใหญ่ ที่เป็นผู้ดูแลและถูกกวาดต้อน แม้จะเป็นคนสำคัญในวีนัส มาสเตอร์ แต่ก็ไม่ใช่ตัวการใหญ่
รวมทั้ง คนสำคัญอย่าง “เสี่ย อ.อ่าง” ผู้ที่รู้เรื่องการจ่ายส่วย ที่เก็บจาก “วีนัส มาสเตอร์” และเครือข่าย 700 กว่าแห่ง เดือนละกว่า 10 ล้านบาท ก็ยังไม่ถูกจับกุม ซึ่งหาก “เสี่ย อ.อ่าง” กลายเป็นผู้ต้องหาด้วย อย่างน้อย ถ้าตำรวจ PCT ทำให้คายความจริงออกมาได้ ก็จะได้รู้ว่า ตำรวจระดับ “นายพล” จนถึง ”นายพัน” ที่เป็นผู้บังคับหน่วยในพื้นที่มีการรับส่วยจากวีนัส มาสเตอร์ และเครือข่าย เดือนละเท่าไหร่
สุดท้าย “หาดใหญ่” และอำเภออื่นๆ ของจังหวัดสงขลา คือแหล่งการพนันออนไลน์ ที่เป็นแหล่งอบายมุขที่ใหญ่โต ไม่แพ้ จ.นครศรีธรรมราช สุราษฎรธานี ภูเก็ต และอื่นๆ เป็นที่หลอกลวงให้ผู้คนหลงใหลในอบายมุขจนหมดเนื้อหมดตัว หมออนาคต ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และเยาวชน เพื่อทำเงินให้กลุ่มตำรวจ ที่อยู่เบื้องหลัง
และนี่สำคัญ หาดใหญ่ สงขลา ไม่ได้มีแค่ “วีนัส มาสเตอร์” ที่เพิ่งถูกทลายห้าง แต่ยังมีบ่อนการพนันออนไลน์อีกมากมาย ที่เป็นดอกเห็ด ทั้งของ เสี่ย ถ. เสี่ย ก. เสี่ย ป. และอีกหลายๆ เสี่ย ซึ่งหลายคนเดินอยู่ในสภาฯ ในฐานะของผู้ทรงเกียรติรวมอยู่ด้วย
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มหึมาของสังคมไทย ที่หน่วยงานในพื้นที่ต้องช่วยกันปัดกวาด เพราะนี้คือขยะสังคม คือปัญหาสังคมของจังหวัดสงขลา เป็นเรื่องที่ “สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญให้มากกว่าเรื่องจัดระเบียบจราจร ที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ เพราะนั่นเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ที่นายอำเภอกับเทศบาลก็จัดการได้ ทำเรื่อง “บ่อนออนไลน์” ให้สำเร็จ รับรองว่า ชาวสงขลาจะปรบมือให้ท่านสนั่นเมืองแน่นอน
โฆษกพรรคประชาชาติ ชี้แจงเหตุมีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
สส.กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ โฆษกพรรคประชาชาติ ชี้แจงเหตุมีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวานนี้
โดยมีการชี้แจงดังนี้
เรียนพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน ผม นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ในนามโฆษกพรรคประชาชาติ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 7 ท่าน ของพรรคประชาชาติ เรามาแถลงข่าววันนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ วันที่ 5 กันยายน 2566 มีท่านณฐพร โตประยูร ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ดำเนินการยุบพรรคประชาชาติ โดยอาศัยอ้างเหตุพฤติการณ์ว่าพรรคประชาชาติมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองโดยเอาเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 จากกรณีที่ขบวนการนักศึกษาปัตตานีทำเวทีประชามติที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินท์ ปัตตานี มอ.ปัตตานี ว่า ให้มีการทำประชามติแบ่งแยกดินแดน แล้วก็อ้างว่าพรรคประชาชาติ มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเป็นที่มาว่าการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กระทำไม่ได้ แล้วอ้างเหตุทำนองลักษณะว่าพรรคประชาชาติ เรามีส่วนเกี่ยวข้องการจัดทำประชามติในครั้งนั้น
ประเด็นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2566 ภายหลังที่มีเวทีการทำประชามติตั้งแต่นั้น ก็ปรากฏข่าวตามสื่อมวลชนมาโดยตลอด และทางพรรคก็ได้ชี้แจงมาโดยตลอดเช่นกัน ในส่วนข้อเท็จจริงที่พยายามโยงให้พรรคประชาชาติต้องการที่จะยุบพรรคประชาชาติ ในขณะนั้น เราเข้าใจว่าวันนี้เรื่องเหล่านี้น่าจะเป็นที่เข้าใจว่าประชาชาติเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรม แล้วก็ชี้แจงอย่างนี้มาโดยตลอด แต่อยู่ดีๆเมื่อวานมีคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เท่าที่ติดตามข่าว คุณณฐพร เขาไปยื่นต่ออัยการก่อน ตามมาตรา 49 ตามรัฐธรรมนูญปี 60 พออัยการไม่รับพิจารณาภายใน 15 วัน จึงได้ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรค
กรณีนี้หลังเกิดเหตุ เราไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการชี้แจงต่อฝ่ายสืบสวนสอบสวนคณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้อเท็จจริงเนื่องจากว่าการจัดกิจกรรมเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 ของขบวนการนักศึกษา พรรคประชาชาติขอย้ำว่า เราไม่ได้เป็นผู้ร่วมจัดกิจกรรม พูดง่ายๆก็คือ เราไม่ได้เป็นเจ้าภาพในการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพียงแต่ว่าการจัดกิจกรรมนักศึกษา เขาได้มีหนังสือเชิญถึงพรรคประชาชาติให้ไปร่วมเป็นวิทยากรในช่วงบ่าย ทางพรรคก็ได้มีหนังสือให้ทาง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่เขตอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี คือท่าน ดร.วรวิทย์ บารู ในฐานะที่เป็นอดีตรองอธิการ มอ.ปัตตานี แล้วก็เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขต อำเภอเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มอ.ปัตตานี ไปร่วมเป็นวิทยากรในช่วงบ่าย ส่วนการทำประชามติในวันนั้น เป็นการทำประชามติในช่วงเช้า ช่วงบ่ายหัวข้อที่พูดบนเวทีก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดน
ด้วยพฤติการทั้งหมด เราขอยืนยันว่า เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำกิจกรรม หนังสือเชิญหลักฐานต่างๆ เราพร้อมที่จะชี้แจง ก่อนหน้านี้ที่ผมได้เรียนตั้งแต่ต้นว่า เราได้ชี้แจงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งไปทั้งหมดแล้ว พรรคประชาชาติขอยืนยันว่าตลอดระยะเวลาการจัดตั้งพรรคประชาชาติขึ้นมาตลอดระยะเวลาหลายปี เรายืนยันมาโดยตลอดว่าเราดำเนินการ ถึงแม้ว่าเราอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่ๆมีความล่อแหลมในมิติของความมั่นคง แต่การดำเนินกิจกรรมต่างๆ การทำงานในฐานะพรรคฝ่ายค้านตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เราดำเนินการกิจกรรมทางการเมืองทำงานการเมืองเพื่อพี่น้องประชาชนภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ 2560 นั้นก็คือ เราส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติย์ทรงเป็นประมุข หากคำร้องที่ทางฝ่าย คุณ ณฐพร ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญรับไว้หลังจากนี้ เราพร้อมที่จะชี้แจงว่าเราไม่ได้มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองตามที่ถูกกล่าวหา กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ โฆษกพรรคประชาชาติ กล่าว
สส.วรวิทย์ บารู ชี้แจงประเด็น
ผมมีสองสามประเด็นที่จะแจ้งให้พี่น้องสื่อมวลชนได้ทราบ ประเด็นที่หนึ่งก็คือเราได้รับเชิญจากผู้จัดให้ไปเป็นวิทยากรร่วมเสวนากับวิทยากรอีกสองสามท่านเราไปในลักษณะที่เป็นวิทยากรโดยไปในช่วงเวลาที่ใกล้ถึงเวลาของเราเกือบจะสิ้นสุดปลายแล้วน่ะครับ แล้วก็ประเด็นที่สอง หัวข้อที่ไปพูดเป็นหัวข้อ “self determination “ น่ะครับ ก็คือการ… ตนเอง น่ะครับ การ self determination ก็พูดในกรอบนี้แล้วก็ในพรรคของเราเองเนื่องว่าเป็นพรรคซึ่งแม้ว่าเราอยู่ที่นั่นเหมือนที่โฆษกเราได้พูดไป แล้วก็สมาชิกเรามีทั่วประเทศไม่ใช่เฉพาะในกลุ่มนับถือศาสนาอิสลามอย่างเดียว แล้วก็มีทางด้านฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต. อยากทราบข้อมูลรายละเอียด ผมก็เดินทางไปให้ข้อมูล ณ กกต. จังหวัดปัตตานีน่ะครับ และไม่เคยได้รับการเชิญหรือเรียกตัวจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจน่ะครับ เพราะฉะนั้นในเรื่องเหล่านี้ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องซึ่งเป็นวิชาการที่ผมไปพูด ก่อนหน้าผม เป็นอาจารย์มารค ตามไทยซึ่งพูดในประเด็นเนื้อหาวิชาการที่เกี่ยวข้องกับ self determination น่ะครับ จึงไม่มีเหตุผลใดๆที่จะเป็นเรื่องที่เราไปรับรู้ถึงการกระทำหรือว่าอะไรจะไปพูดที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดนซึ่ง เพราะ self determination เป็นองค์ความรู้หนึ่งที่ผู้เรียนรู้ ผู้ที่เรียนรู้ทำหน้าที่ในเรื่องของผู้ที่ทำหน้าที่ความมั่นคงก็ต้องเรียนสิ่งเหล่านี้และผู้ที่ใฝ่หาสันติวิธีก็ต้องเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้เช่นกันครับ
**ตอบคำถามผู้สื่อข่าวครับ **
ผู้สื่อข่าวถาม : ดูแล้ว มีความเสี่ยงที่จะถูกยุบพรรคพร้อมจะชี้แจงด้วยข้อกฎหมายใด
โฆษกตอบ : คือตอนนี้ทางพรรคทราบเพียงตามข่าวที่คุณ ณฐพร ได้ยื่นเมื่อวานน่ะครับ ในส่วนโดยสรุปพฤติการณ์ในการที่อ้างเหตุว่าเรามีเจตนาล้มล้างการปกครองโดยสรุปแค่นั้นเอง ส่วนในรายละเอียดน่ะครับ ที่เขาอ้างในคำฟ้องซึ่งผมทราบว่ามี 30 กว่าหน้า มีพฤติการณ์อะไรบ้าง ตรงนั้นเราพร้อมที่จะชี้แจง แล้วก็มั่นใจว่าการดำเนินการของพรรคเรากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เราไม่ได้ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ พร้อมที่จะชี้แจงครับ
ผู้สื่อข่าวถาม : ในเหตุการณ์ มีตัวแทนของพรรคการเมืองหลายพรรคด้วยก็จะเป็นบรรทัดฐานเดียวกันกับพรรคอื่นไหมครับว่าเป็นแค่การไปร่วมเสวนา
โฆษกตอบ : เท่าที่ผมทราบว่าวันนั้น ก็มีตัวแทนของพรรคเป็นธรรม แล้วก็ส่วนก้าวไกลก็ได้รับเชิญ แต่ไม่ได้ไป แล้วก็มีตัวเเทนของพรรคประชาชาติเราที่ไปด้วย โดยสรุปที่ไปวันนั้นก็คือมี 2 พรรค ครับ ส่วนการอ้างเหตุของแต่ละพรรคที่จะยุบพรรคด้วยเหตุการณ์ของวันนั้นของฝ่ายคุณ ณฐพร อ้างเหตุพฤติการณ์อะไร ขอดูคำฟ้องที่เขาฟ้อง ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับ เขาส่งมาให้พรรคชี้แจง เราพร้อมชี้แจงครับ
ผู้สื่อข่าวถาม : มีความกังวลไหมครับ
โฆษกตอบ : ไม่ได้กังวลครับ เรามั่นใจในการทำงานของพรรคเรามาโดยตลอดระยะเวลา 4-5 ปี เพราะว่า ผมมองว่าประเด็นเหล่านี้เราไม่ทราบว่าโดยเจตนาที่แท้จริงของคนที่ร้องมีเจตนาอย่างไร แต่ว่า ที่จะกล่าวหาใครว่าต้องการล้มล้างการปกครองเนี่ย ผมว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงเจตนาพิเศษอย่างแท้จริงน่ะครับ เรายืนยันมาโดยตลอดครับว่า พรรคเราไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคคนเดิม วันมูหะมัดนอร์ มะทา ก็อยู่ในวงการการเมืองมานาน 40 กว่าปี ก็อยู่ในระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด แล้วก็ 4 ปีที่เราทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เราก็อยู่เคียงข้างประชาชน ไม่ได้มีส่อเจตนาอื่นเลยนะครับ ว่าเราจะมีการล้มล้างการปกครองขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ครับ
ผู้สื่อข่าวถาม : มองเป็นเรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมืองไหมครับ
โฆษกตอบ : ผมไม่สามารถที่คาดเดาได้ว่าเจตนาที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่ว่า ถ้าดูพฤติการณ์ปกติที่เราดำเนินการวันที่ 7 มิถุนายน ในช่วงบ่าย เราถือว่าเราดำเนินการเป็นปกติในฐานะพรรคการเมืองครับ ขอบคุณมากครับ
ผู้คน - สังคม
สนพท.ต้อนรับคณะผู้แทนสื่อมวลชนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เดินทางมาทัศนศึกษาดูงานและกระชับความสัมพันธ์
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 เวลา 14.00 น. ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย (สนพท.) พร้อมคณะกรรมการและที่ปรึกษา ประกอบด้วย นายณรงค์ ภัยกำจัด, นางอารยา ณ วงศ์ดี กรรมการบริหาร นายชัชวาล คำไท้ ที่ปรึกษา ให้การต้อนรับคณะผู้แทนสื่อมวลชนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน นำโดย Mr. LI JIANMIN, Director of General Desk, China News for World Service Department, Xinhua News Agency ( นายหลี่ เจียนหมิน : ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว สำนักข่าวซินหัว) Mr. XU LIJUN, Director of Liaison Department, Heilongjiang Broadcasting Station (นายซู่ ลี่จวิน : ผู้อำนวยการฝ่ายประสานงาน สถานีวิทยุเฮยหลงเจียง) Mr. ZHANG PINGZHAO, Editor in chief, Baoan Daily (นายจาง ผิงจ้าว : บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์เปาอันเดลี่)Mr. WANG YONGPO, Deputy Director of General Office, All-China Journalists Association (นายหวาง หย่งโป : รองผู้อำนวยการฝ่ายสำนักงานทั่วไป สมาคมนักข่าวนักหนังหนังสือพิมพ์สาธารณรัฐประชาชนจีน)Mr. ZHAO TAO, First-level Researcher, Overseas Journalists Activity Center, All-China Journalists Association (นายจ่าว เทา : นักวิจัยระดับหนึ่ง ศูนย์กิจกรรมนักข่าวต่างประเทศ สมาคมนักข่าวนักหนังหนังสือพิมพ์สาธารณรัฐประชาชนจีน)
จากนั้นนำคณะผู้แทนสื่อมวลชนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เดินทางต่อไปยังจังหวัดระยอง โดยเข้าพักที่โรงแรม เดอะโพเดียม แหลมแม่พิมพ์ จังหวัดระยอง และเวลา 18.00 น. มีการเลี้ยงต้อนรับคณะสื่อฯจีน ณ ร้านอาหารวาสนาฟิชชิ่งปาร์ค
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 เวลา 08.30 น. นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย พร้อมคณะได้นำคณะผู้แทนสื่อมวลชนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ไปชมสวนทุเรียนคุณประยูร ซึ่งส่งออกทุเรียนเกรดพรีเมี่ยมรายใหญ่ของจังหวัดระยอง จากนั้นเข้าเยี่ยมชมกิจการของ PTT LNG ที่หนองแฟบ มาบตาพุด โดยมีคุณชมพูนุช ไวศยะพันธ์ ผู้จัดการส่วนบริหารและปฏิบัติการท่าเรือ LMPT2 ฝ่ายปฏิบัติการ ให้การต้อนรับพร้อมตอบข้อซักถาม
สวนพฤกษศาสตร์เมืองหนาวใน Flora exhibition Hall ที่เป็นอาคารแนวประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่นำความเย็นเหลือทิ้งจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงสถานะขงแก๊สธรรมชาติเหลว หรือ LNG มาชัในระบบปรับอากาศของอาคาร ซึ่งอาคารนี้จะมีการจัดนิทรรศการดอกไม้นานาพันธุ์ทั้ง ดอกทิวลิป ไฮเดรนเยีย แดฟโฟเดล ลิลลี่ ฯลฯ โดยจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปในแต่ละเดือน โดยเปิดให้เข้าชมฟรีไม่มีค่าใช่จ่าย วันจันทร์-วันเสาร์ เวลา 09.30-16.30 น. (ปิดวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
เวลา 11.00 น. นำคณะผู้แทนสื่อมวลชนจีน เข้าเยี่ยมชมท่าเรือมาบตาพุด (สทร.) ระยะที่ 3 โดยมีนายอาณัติ จันดี ผู้อำนวยการสำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ให้การต้อนรับพร้อมบรรยายสรุป
ท่าเรือมาบตาพุด ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อ.ระยอง จ.ระยอง มีเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ เป็นท่าเรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่มีความสามารถในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ และสินค้าเหลว ในประมาณ 16 ล้านตันต่อปี ปัจจุบันมีผู้ประกอบการจำนวน 12 ราย เป็นผู้ให้บริการท่าเทียบเรือเฉพาะกิจ จำนวน 9 ราย และผู้ให้บริการท่าเทียบเรือสาธารณะ จำนวน 3 ราย
ปัจจุบันมีการใช้งานเต็มศักยภาพแล้ว จึงมีความจำเป็นต้องขยายท่าเรือ ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถและความจุในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ และสินค้าเหลวสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อรักษาความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และเมื่อพัฒนาแล้วจะสามารถรองรับการขนส่งได้ 31 ล้านตันต่อปี
เวลา 13.30 น. นำคณะผู้แทนสื่อมวลชนจีนเข้าพบ นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พร้อมพูดคุยในโอกาสที่คณะฯ ได้มาทัศนศึกษาดูงานและเที่ยวชมเมืองระยอง พร้อมมอบของที่ระลึก
จากนั้นเวลา 14.00 น. ทั้งคณะ สนพท.และคณะผู้แทนสื่อมวลชนจีน ได้เดินทางออกจากจังหวัดระยอง ไปเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี โดยแวะเข้าชมสวนนงนุช ซึ่งเป็นสวนสวยติดหนึ่งในสิบของโลกก่อนเข้าพักที่โรงแรม LK GRAND EMPIRE และรับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารชมเมือง
อบจ.สงขลา ร่วมรับรางวัลประกาศเกียรติคุณ “ค่าของแผ่นดิน” ประจำปี 2566
อบจ.สงขลา ร่วมรับรางวัลประกาศเกียรติคุณ “ค่าของแผ่นดิน” ประจำปี 2566 ด้านการพัฒนาสังคมและส่งเสริมคุณภาพชีวิต จากโครงการ “ศูนย์สร้างสรรค์นวัตกรรมสร้างสุขชุมชน”
วันนี้ (20 พ.ย.) นายไพเจน มากสุวรรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา พร้อมด้วย นายปรีชัย มาละวรรณโณ ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา นางปิยนันท์ สิงห์ทอง รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา นางฐิตารีย์ เชื้อพราหมณ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เข้าร่วมรับรางวัลประกาศเกียรติคุณ "ค่าของแผ่นดิน" ประจำปี 2566 ด้านการพัฒนาสังคมและส่งเสริมคุณภาพชีวิต จากโครงการ “ศูนย์สร้างสรรค์นวัตกรรมสร้างสุขชุมชน” โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบ ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
รางวัลประกาศเกียรติคุณ “ค่าของแผ่นดิน” เพื่อสรรหาและคัดเลือกบุคคลหน่วยงาน และโครงการที่เป็นต้นแบบของการสร้างสรรค์ความดีในทุกมิติ มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน สำหรับการประกาศเกียรติคุณในครั้งนี้ มีบุคคล หน่วยงาน และโครงการผ่านการคัดเลือก จำนวน 27 ราย รวม 7 ด้าน แบ่งเป็นผู้ที่ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ จำนวน 20 ราย และได้รับใบประกาศเกียรติคุณ จำนวน 7 ราย รางวัลค่าของแผ่นดินเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติแก่ผู้ทำความดี และเป็นแรงบันดาลใจและเป็นต้นแบบแห่งการสร้างสรรค์การทำความดีให้แก่ผู้คนในสังคม รวมทั้งเด็กและเยาวชนในรุ่นต่อไป
ทัศนะ - สนทนา
สำนวน “ช้างเหยียบนา พระยาเหยียบเมือง” กับวลีเด็ด “โจรกระจอก”
ทัศนะ : ไชยยงค์ มณีพิลึก
ณ เวลานี้เชื่อว่าคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังใจจดจ่อกับการจะมาเยือนของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมๆ กับอยากรู้ว่า จะมีการยกฐานะ “ขบวนการบีอาร์เอ็น” ให้เป็น “องค์กรก่อการร้าย” อย่างเป็นทางการหรือไม่
สำหรับ “คดีตากใบ” เวลานี้ได้ยุติแล้วอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ด้วยองค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดนราธิวาสได้สั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบ ซึ่งไม่ใช่การ “ยกฟ้อง” แต่เป็นเพราะตำรวจไม่สามารถติดตามนำตัวจำเลยมาขึ้นศาลตามหมายจับได้ตามกำหนด
จำเลยทั้ง 14 คนจึงยังไม่ได้พิสูจน์การกระทำผิด แม้ถือว่าพ้นผิดไปแล้ว สำหรับผู้ที่ยังรับราชการยังต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบทางวินัยต่ออีก ซึ่งหลังจากนี้จะดำเนินชีวิตต่อด้วยความสง่างามได้หรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่คือ “ต้นทุน” ที่ทุกคนต้องแบกรับกันต่อไป
เชื่อว่าหลังจากนี้คดีตากใบจะถูกนำไปใช้เป็น “เงื่อนไขทางการเมือง” เพื่อทำลายล้างรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย อีกทั้งจะเป็นอีกหนึ่ง “ตราบาป” ให้แก่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้พ่อ และถูกส่งต่อถึงลูกสาว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
สำหรับขบวนการแบ่งแยกดินแดนตัวพ่อนั้น ก่อนคดีตากใบขาดอายุความเพียง 1 วันได้ออกแถลงการณ์สื่อสารกับสังคมว่า บีอาร์เอ็นไม่ได้อยู่เบื้องหลังปลุกปั่นให้ญาติผู้ตายทั้ง 48 ครอบครัวออกมาเป็นโจทก์ยืนฟ้องคดี เช่นเดียวกับการก่อเหตุความรุนแรงในห้วงเวลานี้ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ใครไม่รู้จักบีอาร์เอ็นอาจเชื่อ เพราะหาหลักฐานไม่ได้ ที่สำคัญมองไม่เห็นการเชื่อมโยงระหว่างขบวนการกับ “นักการเมืองบางพรรคหรือบางกลุ่ม” ผ่านภาคประชาสังคม เอ็นจีโอและนักสิทธิมนุษยชนใต้ปีกบีอาร์เอ็น รวมทั้งการเชื่อมโยงกับ “องค์กรชาติตะวันตก” ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
หรือกล่าวโดยสรุปก็คือ นับจากนี้คดีตากใบได้ถูกชี้นำให้เป็นเรื่องของ “ความอยุติธรรม” เพื่อนำไปใช้เคลื่อนไหวถล่มรัฐบาลและกระบวนการดับไฟใต้ โดยมีผลประโยชน์ของ “พรรค” และ “ส่วนตัว” เข้ามาพัวพันอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนจะส่งผลให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ประเด็นนี้ไม่ควรกังวล เพราะไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคดีตากใบเข้ามาเกี่ยวข้อง ในพื้นที่ชายแดนใต้ก็เกิดเหตุร้ายขึ้นตามวงจรปกติอยู่แล้ว เพียงแต่คดีตากใบช่วยเพิ่มน้ำหนักให้บีอาร์เอ็นนำไป “สร้างเงื่อนไข” ต่อทั้งคนในพื้นที่และองค์กรในระดับนานาชาติได้เป็นอย่างดี
จึงเป็นหน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าโดยตรงว่า จะป้องกันพื้นที่ได้ดีระดับไหน?! อย่างไร?!
การที่บีอาร์เอ็นออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ จึงเป็นเรื่อง “โกหกมดเท็จ” ที่วันนี้ไม่น่าจะใช้หลอกคนในชายแดนใต้ได้อีกต่อไป อีกทั้งการ “ใส่ร้ายป้ายสี” ว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐก็คงใช้ไม่ได้อีกเช่นกัน
โดยเฉพาะเหตุคาร์บอมบ์ที่ข้าง สภ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ที่ใช้วิธีปล้นรถยนต์ราชการของ อบต.บ้านน้ำบ่อ แล้วไปประกอบระเบิด ตำรวจก็สืบสวนสอบสวนจนจับกุมคนใน อบต.ที่เป็นสายโจรได้แล้ว ซึ่งมีพยานหลักฐานชัดเจนว่า เป็นฝีมือก่อการร้ายของบีอาร์เอ็น
เช่นเดียวกับที่เคยเหตุคาร์บอมบ์แฟลตตำรวจ สภ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อหลายเดือนก่อน ที่มีการปล้นรถราชการของ อบต.ธารโต จ.ยะลา ไปประกอบระเบิด และตำรวจสอบสวนจนจับกุมคนของ อบต.ธารโตเป็นผู้ต้องหาที่สมรู้คบคิดกับกลุ่มติดอาวุธของบีอาร์เอ็นได้เช่นกัน
ว่าไปแล้วคดีตากใบไม่น่าจะเป็นเงื่อนไขให้เกิดการก่อเหตุร้ายเพิ่มขึ้นมาก หรือไม่น่าจะส่งผลกระทบทางการเมืองกับรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ดังจะเห็นจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีกำหนดการลงพื้นที่ชายแดนใต้นับตั้งแต่นั่งนายกฯ ช่วงแรกๆ
แม้ดูเหมือนจะมีความรู้ความเข้ายังไม่มากพอ แต่ในฐานะสวม “หัวโขน” ผู้นำประเทศ เธอจึงสมควรที่จะให้ความสำคัญกับสถานการณ์ไฟใต้ เพราะการลงพื้นที่มารับฟังปัญหาด้วยตัวเองจากทั้ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ถือเป็นเรื่องจำเป็นและสมควรจะกระทำโดยเร็ว
ทั้งนี้ เรื่องที่นายกฯ ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดคือ การแก้ปัญหาความไม่สงบ ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนหรือการท่องเที่ยวอย่างที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ คนก่อนเคยประกาศ ซึ่งจะเป็นการสูญเปล่าทั้ง “งบประมาณ” และ “เวลา” เพราะสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้เองหากไฟใต้มอดดับลงได้
ข่าวว่า หน่วยงานความมั่นคงและ “ผู้อยู่เบื้องหลังนายกฯ” จะมีการประชุมหาข้อสรุปว่า จะมีการ “ยกฐานะ” บีอาร์เอ็นให้เป็นองค์กรก่อการร้ายหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่นายกฯ ต้อง “มีข้อมูลมากพอ” ก่อนที่ลงพื้นที่
ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลังปรากฏการณ์ “ช้างเหยียบนา พระยาเหยียบเมือง” ที่จะเกิดขึ้น เมื่อผ่านพ้นไป สถานการณ์ไฟใต้ต้องดีขึ้น ต้องไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนสมัย “อดีตนายกฯ ผู้พ่อ” ที่ตอนยกทัพมาแผ่นดินชายแดนใต้ได้กล่าววลีเด็ด “โจรกระจอก” อันเป็นเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟใต้
ฤๅ “คดีตากใบ” ไม่ต่างจากเอาเบนซินไปราดดับไฟใต้?!
ทัศนะ : ไชยยงค์ มณีพิลึก
อีกไม่กี่วันจะครบ 20 ปี “คดีตากใบ” ที่เกิดเหตุการณ์ตายหมู่ของประชาชน ซึ่งไปร่วมชุมนุมที่หน้า สภ.ตากใบ.จ.นราธิวาส ตามการปลุกระดมของบีอาร์เอ็นในขณะนั้น ที่มี “สะแปอิง บาซอ” เป็นผู้นำ ในฐานะประธานขบวนการแบ่งแยกดินแดนดังกล่าว
ดังนั้น กรณีการเสียชีวิตของประชาชนที่ไปชุมนุมปิดล้อม สภ.ตากใบ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 จึง “ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ” แต่เป็นส่วนหนึ่งของ “แผนการ” ที่ถูกวางไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้เกิดความสูญเสียภายใต้ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งบีอาร์เอ็นวางแผนไว้แล้ว
แม้แต่การให้ “ครอบครัวผู้สูญเสีย” เป็นโจทก์ยื่นฟ้องอาญาต่อ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ที่ศาลจังหวัดนราธิวาสก่อนคดีจะหมดอายุความ นั่นก็เป็นการ “วางแผน” ไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเช่นกัน เพื่อเป็น “เงื่อนไขใหม่” ของปัญหาไฟใต้
“แกนนำ” ปีกทางการเมืองบีอาร์เอ็นในพื้นที่ วิเคราะห์สถานการณ์หลังศาลออกหมายจับ “อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูง” ที่มีทั้งทหาร ตำรวจและพลเรือนไว้ว่า ผู้ตกเป็นจำเลยต้อง “หลบหนี” โดยไม่มีใครไปรายงานตัวต่อศาลจังหวัดนราธิวาสสักรายอย่างแน่นอน
เพราะ “กฎหมายเปิดช่อง” ให้ผู้ตกเป็นจำเลย “หลุดรอด” คดีได้ด้วยการหลบหนีไปจนถึง “เที่ยงคืน” ของวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 20 ปีพอดิบพอดีนับจากวันเกิดเหตุคดีตากใบคือ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ถือว่า คดีหมดอายุความ
ถ้าเราติดตามสถานการณ์ชายแดนใต้อย่างใกล้จริงจังจะพบว่า ก่อนคดีตากใบหมดอายุความ 15 วัน แกนนำปีกการเมืองและทางทหารของบีอาร์เอ็นมีการประสานงานกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จึงได้เห็นการก่อเหตุความรุนแรงต่อเนื่อง
ทั้งนี้ อาศัย “ช่องโหว่” และ “การข่าวที่ล้มเหลว” ของฝ่ายเจ้าหน้าที่ ขณะที่ “แนวร่วม” บีอาร์เอ็นกลับมีการข่าวที่แม่นยำ เพราะมี “หนอนบ่อนไส้” แฝงตัวอยู่ในแทบจะทุกหน่วยงานคอยส่งข่าวให้ “กองกำลังติดอาวุธ” ก่อวินาศกรรม หรือโจมตีแบบหวังผลและแบบฉาบฉวย
นอกจากนี้ ปีกทางการเมืองบีอาร์เอ็นยังใช้วิธีการจัดกิจกรรมทั้งในชายแดนใต้และที่กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการย้อนรำลึกอดีตคดีตากใบเพื่อ “รื้อฟื้นบาดแผล” โดยทุกกิจกรรมต่างมุ่งเน้นเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ครอบครัวของผู้สูญเสีย
รวมถึงเรียกร้องให้จำเลย “รับผิดชอบ” ด้วยการมอบตัวสู้คดีในกระบวนการยุติธรรม และจี้ต้องให้ “รัฐบาล” นำตัวจำเลยทั้งหมดมาขึ้นศาลให้ทันก่อนหมดอายุความ ซึ่งต้องยอมรับว่าการขับเคลื่อนครั้งนี้ของทุกกลุ่มไม่ได้มีเป้าหมายเรื่องของ “ความยุติธรรม” เพียงประเด็นเดียว
ทว่ายังมีสิ่ง “แอบแฝง” อยู่ด้วย เช่น บีอาร์เอ็นต้องการใช้คดีตากใบเพิ่มเป็น “เงื่อนไข” สู่การก่อความไม่สงบ พร้อมกล่าวหา “รัฐไทย” และ “รัฐบาล” รวมถึง “หน่วยงานความมั่นคง” ว่า ไม่จริงใจกับการแก้ปัญหาไฟใต้ มีแต่จะปกป้องเจ้าหน้าที่ให้รอดพ้นจากบ่วงคดีเสียเท่านั้น
เชื่อว่าหลัง 25 ตุลาคม 2567 เมื่อจำเลยทุกคนพ้นผิด เพราะคดีขาดอายุความ เราก็จะเห็นบีอาร์เอ็นใช้ “เงื่อนไขใหม่” ขับเคลื่อนงานทุกด้านทั้งมวลชน การเมืองและการทหาร โดยหยิบเอา “ความอยุติธรรม” มาอ้าง ซึ่งเชื่อว่ามีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนไว้แล้ว
สัปดาห์แล้ว “ดุลเลาะ แวมะนอ” อดีต ผบ.ฝ่ายกองกำลังบีอาร์เอ็น ในฐานะผู้นำใน “สภาซูรอ” ได้ประชุมกับระดับแกนนำและแนวร่วมบีอาร์เอ็นเพื่อเตรียมขับเคลื่อนงานด้านศาสนาและมวลชน ซึ่งถึงวันนี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ารับรู้แล้วหรือยังและมีการเตรียมรับมือไว้อย่างไร
ในส่วนของ “ฝ่ายการเมือง” ก็มีการออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัวผู้สูญเสีย ซึ่งทั้งหมดได้รับการเยียวยาไปแล้ว นี่ถือเป็นอีกการฉกฉวยประโยชน์ทางการเมือง โดยใช้เงื่อนไขของ “คดีตากใบ” ในการทำลายพรรคการเมืองคู่แข่ง
ไม่เพียงเท่านั้นยังมี “บางองค์กร” ในพื้นที่ชายแดนใต้ฉวยเอาคดีตากใบไปเล่มเกมการเมือง อาทิ จัดกิจกรรมทางการเมืองเพื่อสร้างความเข้มแข็งและความชอบธรรมให้แก่องค์กรตัวเอง ขณะเดียวกันก็พยายามพุ่งเป้าไปโจมตีหน่วยงานรัฐ
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การออกมาเคลื่อนไหวของทุกกลุ่มที่มีการหยิบยกเอาคดีตากใบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เบื้องหน้าคือการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัวผู้ที่สูญเสีย แต่เบื้องหลังล้วนมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น
เช่นเดียวกับ “สื่อมวลชน” หลายสำนักที่ให้ความสำคัญกับคดีตากใบ ซึ่งมักจะหยิบความสูญเสียของผู้ที่ร่วมไปชุมนุมมานำเสนอแบบ “ด้านเดียว” แต่ไม่พยายามให้ความความสำคัญกับประเด็นที่บีอาร์เอ็นมีการวางแผนให้เกิดการชุมนุมประท้วง รวมถึงขัดขวางการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่
ดังนั้น หากจะกล่าวว่า “สื่อหลายสำนัก” ได้กลายเป็น “เครื่องมือ” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนไปแล้วอย่างเต็มใจ ซึ่งนั่นก็อาจจะไม่ผิดไปจากความเป็นจริงก็เป็นได้
โดยเฉพาะไม่มีการนำเสนอเบื้องหลังการนำเอาคนจากทั้ง “48 ครอบครัว” มาเป็นโจทก์ในการฟ้องร้องทางอาญาต่อ “7 เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง” ว่า มีความเป็นมาอย่างไร องค์กรหรือหน่วยงานไหนวางแผนไปเกลี้ยกล่อมมา ซึ่งประเด็นเหล่านี้ล้วนแต่มีเบื้องหลัง แต่กลับไม่มีการระบุถึงทั้งสิ้น
ทำไมสื่อมวลชนจึงละเลยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า ทำไมอีกกว่า “40 ครอบครัวผู้สูญเสีย” จึงไม่ยอมมาร่วมเป็นโจทย์ยื่นฟ้องร้องคดีอาญากับอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงครั้งนี้ ประเด็นนี้อาจจะมี “ข้อตกลง” ก่อนมี “การเยียวยา” ครอบครัวผู้เสียชีวิตศพละ 7.5 ล้านบาทหรือไม่ ทำไมไม่มีการเปิดเผยให้สังคมได้รับทราบ
ร่วมถึงการที่สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ “ยุติการดำเนินคดีแนวร่วม” ที่ปลุกระดมให้ผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงบริเวณหน้า สภ.ตากใบ จำนวน 59 คน เพื่อหวังให้เกิดความปรองดอง เรื่องนี้ก็ไม่มีสำนักข่าวไหนให้ความสนใจนำเสนอว่า นี่คือ “เงื่อนไขสำคัญคดีตากใบ” ก่อนที่จะมีการเยียวยาเกิดขึ้น
การรื้อฟื้นคดีตากใบต้องถือจึงเป็น “ชัยชนะของบีอาร์เอ็น” โดยมี “รัฐไทยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้” และนับแต่นี้ไปคดีตากใบจะเป็น “เงื่อนไขใหม่” ที่ถูกนำไป “เติมเชื้อไฟแค้น” ให้แก่พี่น้องมุสลิมทั้งในพื้นที่และทั่วโลก เพื่อที่บีอาร์เอ็นจะได้นำไปใช้อ้างเพื่อตอบโต้ “อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม”
ก็ต้องติดตามดูกันว่าหลังวันที่ 25 ตุลาคม 2567 “รัฐบาลเพื่อไทย” และ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้กำอำนาจตัวจริงจะตัดสินใจอย่างไรต่อไปกับปัญหาไฟใต้
จะประกาศให้บีอาร์เอ็นเป็น “องค์การก่อการร้าย” เพื่อที่จะใช้ “กำปั้นเหล็ก” แก้ปัญหาเหมือนครั้งที่ “รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร” เคยปฏิบัติมาก่อน
หรือจะใช้ “ถุงมือกำมะหยี่” แก้ไขด้วยการเจรจาสันติภาพในรูปแบบใหม่กับขบวนการแบ่งแยกดินแดน นี่คือสิ่งที่สังคมไทยที่ต้องติดตามใกล้ชิด
แต่ที่แน่ๆ หลังวันที่ 25 ตุลาคม 2567 สถานการณ์ไฟใต้จัดอยู่ใน “โซนอันตราย” ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้อง “สำเหนียก” และต้องมี “ยุทธศาสตร์” และ “ยุทธวิธี” ในการรับมือให้ได้
ชิลล์ฯ เที่ยว - ชิม - ชอป
ชวนชิมเมนูเด็ด “เต้าฮวยเย็นทรงเครื่อง” รับประกันความอร่อยลูกค้าติดตรึม
ชวนลองร้านน้ำเต้าหู้ถั่วเหลือง 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องใช้บัตรคิวตามลำดับมาก่อนหลัง เมนูเด็ด “เต้าฮวยเย็นทรงเครื่อง” เจ้าของร้านรับประกันความอร่อยและลูกค้ายังคงเหนียวแน่นไม่มีลด มีแต่เพิ่มขึ้นทุกวัน
สีสัน น้ำเต้าหู้ถั่วเหลือง 100 เปอร์เซ็นต์ ของคุณนพรัตน์ – คุณวรกร บุญช่วย สองสามีภรรยา ที่เปิดขายน้ำเต้าหู้ ริมถนนหน้าบ้าน เลขที่ 43 ถนนพัทลุง เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งเป็นร้านขายน้ำเต้าหู้ชื่อดัง ที่มีลูกค้ามาอุดหนุนทุกวันเป็นจำนวนมาก จนต้องนำเครื่องกดบัตรคิวมาให้ลูกค้าแต่ละคนกดคิวตัวเอง เพื่อจัดลำดับก่อนหลังตามคิวบัตร โดยเมื่อลูกค้าเข้ามาถึงจะต้องไปกดบัตรคิวก่อน และเมื่อถึงคิวตนเองจึงจะสั่งซื้อได้ โดยเปิดขายระหว่างเวลา 16.30 - 20.30 น. ทุกวัน โดยจะมีลูกค้าหนาแน่นในช่วงตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป โดยได้เปิดขายน้ำเต้าหู้เข้าปีที่ 6 แล้ว
ทางร้านมีเมนูประกอบด้วย บัวลอยน้ำขิง 30 บาท บัวลอยน้ำเต้าหู้ ราคา 30 บาท เต้าทึงเย็น 25 บาท เต้าฮวยเย็นทรงเครื่อง 35-40 บาท และเต้าฮวยสูตรต้นตำรับ 30 บาท และมีเมนูเด็ดที่คิดค้นขึ้นมา ก็คือ เมนูเต้าฮวยเย็น ที่คิดขึ้นมาเองได้รับการตอบรับดีมากและก็ขายดีด้วย เป็นเมนูที่ขายดีประจำร้าน โดยมีเต้าฮวย มีแปะก๊วย ปาท่องโก๋กรอบ โรยน้ำแข็ง แล้วก็ทานรวมพร้อมกัน ซึ่งเป็นรสชาติที่บอกว่ากินแล้วชื่นใจ เป็นเมนูที่ขายดีที่สุดของร้าน สำหรับราคาเต้าฮวยเย็น ถ้าเป็นสูตรธรรมดา ต้นตำรับที่เราคิด ขายถ้วยละ 30 บาท แต่ถ้าคนที่ชอบทานเครื่องเพิ่ม อาจจะใช้ลูกเดือย บาร์เลย์ หรือว่าถั่วเหลืองซีกเพิ่มขึ้นมาก็เป็น 40 บาท
สำหรับแรงบันดาลใจที่ได้มาทำตรงนี้ คุณนพรัตน์ บอกว่า เนื่องจากมองว่าในย่านนี้ยังไม่มีน้ำเต้าหู้ขาย ช่วงนั้นว่างงานอยู่พอดีก็คิดว่าทำอะไรที่ขายหน้าบ้านได้ ก็นั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวันก็เลยมาลองขายน้ำเต้าหู้ คิดว่าจะขายสนุกๆ สบายๆ แต่กลับได้การตอบรับค่อนข้างผิดคาด จึงคิดว่าตัวนี้ไปได้จึงขายตลอดมาปีนี้เข้าปีที่ 6 แล้ว ที่ขายอยู่มีน้ำเต้าหู้ ร้อนเต้าหู้เย็น เต้าฮวยร้อนเต้าฮวยเย็น และเมนูที่ไม่เหมือนที่อื่นก็คือเต้าฮวยเย็นทรงเครื่อง ซึ่งอันนี้เราคิดขึ้นมาเองไม่เหมือนที่อื่น
เบตงพร้อมแล้ว! งานวิ่งเทรลระดับโลกครั้งที่ 2 Amazean Jungle Thailand 2024
ประธาน กพต.แถลงความพร้อมจัดงานวิ่งเทรลสนามระดับโลก ครั้งที่ 2 Amazean Jungle Thailand 2024 @เบตง ที่ อ.เบตง จ.ยะลา 3-5 พ.ค.นี้ คาดกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 300 ล้านบาท
วานนี้ (24 เม.ย.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ (กพต.) ร่วมกับนายกิตติ เชาว์ดีเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายชนธัญ แสงพุ่ม รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และ Mrs.Sabrina De Nadai UTMB Asia Director แถลงข่าวการจัดการแข่งขันวิ่งเทรล Amazean Jungle Thailand by UTMB 2024
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การจัดการแข่งขันวิ่งเทรล Amazean Jungle Thailand by UTMB 2024 ถือว่าเป็นการจัดงานวิ่งระดับโลก เพราะได้รับการรับรองมาตรฐานจาก UTMB : Ultra Trail du Mont Blanc ที่เป็นผู้จัดงานวิ่งเทรลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยการจัดงานครั้งนี้ หน่วยงานหลักที่เป็นผู้รับผิดชอบ คือ ศอ.บต.ร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซึ่งการจัดงานครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 โดยครั้งแรกจัดเมื่อปี 2566 นับว่าประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี โดยในครั้งนั้น มีนักวิ่งเทรลเข้าร่วมโครงการ จำนวน 2,539 คน จาก 48 ประเทศทั่วโลก กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากถึง 243 ล้านบาท
สำหรับการจัดการแข่งขันวิ่งเทรล ในปี 2567 จะจัดขึ้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา โดยเปิดรับสมัครไปแล้วตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 และจัดการแข่งขันในวันที่ 3–5 พฤษภาคม 2567 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการแข่งทั้งหมด 3,480 คน จาก 48 ประเทศทั่วโลก แบ่งเป็น คนต่างชาติ 28% เช่น มาเลเซีย 15% จีน 4% ญี่ปุ่น 1% และ คนไทย 72% โดยคาดว่า จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 300 ล้านบาท ซึ่งการจัดงานวิ่งครั้งนี้ จุดปล่อยตัวคือ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อยู่กลางเมืองเบตง จะวิ่งผ่านสถานที่สำคัญ เช่น เทือกเขาสันกาลาคีรี จุดชมวิวทะเลหมอกจาเราะกางา จุดชมวิวทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต และอุโมงค์ปิยะมิตร เป็นต้น
นายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า งานแข่งขันวิ่งเทรลมี 6 ระยะแข่งขัน ได้แก่ 3.5 กม., 16 กม., 26 กม., 54 กม., 103 กม. และ 145 กม. โดยมีรางวัลการแข่งขัน ดังนี้ ระยะ 145 กม.,03 กม. และ 54 กม. อันดับที่ 1 ชายและหญิง เงินรางวัล 600 ยูโร (ประมาณ 23,000 บาท) อันดับที่ 2 ชายและหญิง เงินรางวัล 450 ยูโร (ประมาณ 18,000 บาท) อันดับที่ 3 ชายและหญิง เงินรางวัล 300 ยูโร (ประมาณ 11,500 บาท) ส่วนระยะ 26 กม. และ 16 กม. จะรับถ้วยรางวัล สำหรับอันดับที่ 1-5 ชายและหญิง โดยประโยชน์ของการจัดงานครั้งนี้ ผู้เข้าแข่งขันจะได้มีโอกาสสัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติ วิถีชีวิต วัฒนธรรม อาหาร รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดชายแดนใต้
ทั้งนี้ ต่างชาติยกให้ อ.เบตง เป็นเพชรที่ซ่อนในภาคใต้ จึงถือเป็นสิ่งที่น่ายินดีที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชื่นชมความสวยงามของเมืองเบตง พร้อมยกระดับการจัดแข่งขันให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันและผู้ติดตามมั่นใจ ประทับใจในการเดินทางมาร่วมแข่งขัน และดึงดูดให้นักวิ่งเทรลทั่วโลกกลับมาเยือนทุกๆ ปี ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวที่ดี โดยเฉพาะมิติด้านการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่สายตาชาวโลก
วรรณกรรม - ศิลปะ - วัฒนธรรม
ช่างภาพโลกเลือก “ห้องสมุด ยับ เอี่ยน ฉ่อย” เมืองเก่าสงขลา จัดนิทรรศการหนังเงาชาติอาเซียน
“ศิลปินช่างภาพระดับโลก” ขนภาพถ่ายและตัวหนังเงาจากชาติอาเซียนมาแสดงให้คนไทยชมฟรี พร้อมเปิดตัวหนังสือ “A Life in Shadows : Shadows Theatre in Southeast Asia” ณ ห้องสมุด ยับ เอี่ยน ฉ่อย ย่านเมืองเก่าสงขลา เสาร์ 30 พ.ย.2567 นี้
นายมกุฏ อรฤดี ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ปี 2555 บรรณาธิการสำนักพิมพ์ผีเสื้อ เลขานุการมูลนิธิวิชาหนังสือ ผู้ให้กำเนิดห้องสมุด ยับ เอี่ยน ฉ่อย ห้องสมุดประจำเมืองต้นแบบ เมืองเก่าสงขลา เปิดเผยว่า มร.คอนสแตนติน คอร์โซวิติส (Mr.Constantine Korsovitis) ศิลปินช่างภาพระดับโลก ผู้พิศมัยศึกษาและถ่ายภาพหนังเงาทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะนำภาพถ่ายและตัวหนังเงาบางส่วนมาจัดแสดงนิทรรศการ พร้อมเปิดตัวหนังสือ “A Life in Shadows : Shadows Theatre in Southeast Asia” ณ ห้องสมุด ยับ เอี่ยน ฉ่อย ในวันเสาร์ที่ 30 พ.ย.2567 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป
มร.คอนสแตนติน คอร์โซวิติส ศิลปินถ่ายภาพชาวออสเตรเลีย ปัจจุบันพำนักอยู่ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ หลังจากได้รับประกาศนียบัตรด้านการถ่ายภาพจากสถาบันเทคโนโลยีซิดนีย์ในปี 2012 ได้ไปเรียนต่อจนจบปริญญาโทด้านการถ่ายภาพสารคดีที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์ มีผลงานเป็นที่ยอมรับแพร่หลายด้านการถ่ายภาพสารคดีเกี่ยวกับบุคคลและการเล่าเรื่อง เป็นผู้มีส่วนสนับสนุน Australian Music Press และผ่านการทำงานในเทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย ก่อนหันมาสนใจศึกษาและถ่ายภาพการแสดงหนังเงาแบบดั้งเดิมของชาติต่างๆ
เขาเคยทำโครงการร่วมกับพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษ พิพิธภัณฑ์ Wayang Kekayon ที่เมืองยอกยาการ์ตาของอินโดนีเซีย และพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชียที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย ปี 1999 ได้รับเชิญจากเลขาธิการองค์กรหนังเงาแห่งอินโดนีเซียให้บันทึกภาพเทศกาลหนังเงานานาชาติที่กรุงจาการ์ตา แล้วนำไปจัดแสดงอยู่ในแกลเลอรี พิพิธภัณฑ์ สถาบันและเทศกาลภาพถ่ายต่างๆ ทั่วโลก อันเป็นที่มาของโครงการ “A Life in Shadows” บันทึกภาพหนังเงาทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังจะถูกนำมาจัดแสดง ณ ห้องสมุด ยับ เอี่ยน ฉ่อย ในครั้งนี้
หนังตะลุงและมโนราห์ ลิเกป่าและเพลงบอก คือศิลปะวัฒนธรรม ที่ถือเป็นการละเล่นในท้องถิ่น
โดย.. ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล
หนังตะลุงและมโนราห์ ลิเกป่าและเพลงบอก คือ “ศิลปะวัฒนธรรม” ที่ถือเป็นการละเล่น ในท้องถิ่น ที่มีประวัติความเป็นมา ที่เก่าแก่และยาวนานของผู้คนในภาคใต้ ที่เคยผ่านความรุ่งเรืองและรุ่งโรจน์มาในยุคสมัยหนึ่ง ที่ถูกกล่าวขาน ถึงในศิลปะการแสดง ที่เป็นที่จดจำจนกลายเป็นตำนานที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว
เช่น “มโนราห์เติม วิน-วาด” คณะมโนราห์ชื่อดังจากเมืองตรัง หนังกั้น ทองหล่อ หนังฉิ้น ธรรมโฆษณ์ แห่ง จ.สงขลา หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล หรือ “พร้อม บุญฤทธิ์” ที่มีประวัติจาก “นายหนังตะลุง” ไปเป็น “ส.ส.” หรือผู้แทนราษฎรแห่ง จ.พัทลุง และหนังอิ่มเท่ง หนัง นครินทร์ ชาทอง หนังสกุล เสียงแก้ว ซึ่งหลายท่านเป็น “ศิลปินแห่งชาติ” ที่เป็นผู้มีชื่อเสียง และคุณูประการต่อวงการศิลปินพื้นบ้านอย่างอเนกอนันต์
วันนี้ วงการของ “ศิลปินพื้นที่บ้าน” อย่างลิเกป่าและเพลงบอก อาจจะเหลืออยู่ไม่กี่คณะทั้งภาคใต้ และอาจจะหมดไปตามกาลเวลา เพราะคนสมัยใหม่ไม่รู้จัก และไม่นิยมชมชอบการละเล่น หรือการแสดงของศิลปินพื้นถิ่นในยุคเก่า เช่นเดียวกับมโนราห์และหนังตะลุง ที่ แม้จะมีอยู่จำนวนไม่น้อยในภาคใต้ ที่ยังรับงานแสดงอยู่ แต่การแสดงก็ไม่ชุกชุมเหมือนในอดีต ที่หนังตะลุงบางคณะอย่าง “หนังน้องเดียว” ที่เคยมีขันหมากรับการแสดงข้ามปี และมี “ค่าราด” ที่กล่าวขานว่า แพงที่สุดในหมู่คณะหนังตะลุงในภาคใต้
โดยเฉพาะคณะหนังตะลุงใน “ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา” ซึ่งมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 30 คณะ ที่ส่วนหนึ่งเป็นนายหนังรุ่นใหม่ ที่เข้ามาทดแทนคณะหนังตะลุงรุ่นเก่า ที่อายุมากและล้มหายตายจากไปจากวงการศิลปินพื้นบ้าน เหลือแต่ชื่อเสียงเป็น “ตำนาน” ให้กล่าวถึงและกำลังเลือนหายไปตามกาลเวลา
วันนี้ สถานะของหนังตะลุงในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ก็ยังคงลุ่มๆ ดอนๆ แบบยึดเป็นอาชีพไม่ได้ ยกเว้นบางคณะที่มีชื่อเสียง แต่การที่จะมีผู้รับไปแสดงเดือนละ 20 คืน หรือ มากกว่านั้นอย่างในอดีตคงจะไม่หวนกลับมาอีกแล้ว เพราะเท่าที่ติดตามการแสดงของหนังตะลุง จะเห็นว่า ส่วนใหญ่เป็นงานแก้บน เป็นงานวัด งานประเพณี วัฒนธรรม หรืองานประจำปี เช่น งานสารทเดือนสิบที่ จ.นครศรีธรรมราช ส่วนงานกาชาด งานสวนสนุก เป็นงานที่หนังตะลุงได้รับการติดต่อไปแสดงน้อยต่อน้อย
จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของคณะหนังตะลุง ที่เป็นพัฒนาการ เพื่อนำเสนอการแสดงในแนวใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม ที่คนดูหนังตะลุงไม่ได้นั่งหน้าจอ เพื่อชมการแสดงคน “รุ่งแจ้งคาตา” เหมือนในอดีต แต่คนดูหนังตะลุง หลังเที่ยงคืนก็กลับบ้านแล้ว คณะหนังตะลุงจึงแสดงให้คนดูไม่เกิน 3-4 ชั่วโมง การเล่นหนังหรือแสดงหนังจึงมีการเปลี่ยนแปลงเป็นการเล่นเรื่องไปเน้นความบันเทิง “ตลกโปกฮา” และการร้องเพลงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการเดินเรื่องและขับกลอนลดน้อยลง เพราะแม้กลอนดีและเสียงหวาน แต่คนรุ่นใหม่เข้าไม่ถึงศิลปะเหล่านี้ หลายคณะที่เป็น “นายหนังรุ่นใหม่” ที่ นำเอาผู้เล่นตลกและคนดังที่เป็นดาวติ๊กต็อกไปโชว์ตัว โชว์เสียง โชว์ลีลา ให้ผู้มาชมการแสดงได้ดู จึงเป็นอีกช่องทางในการเรียกผู้ชมให้ติดตามการแสดงของคณะหนังตะลุง แม้จะผิดเพี้ยนจาก “ขนบ” ดั้งเดิมของหนังตะลุงในอดีต ตาเป็นความจำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
และอีกความเปลี่ยนแปลงคือ การแสดงที่นำเสนอผู้ชมในยูทูปและติ๊กต็อก และในช่องทางอื่นๆ ในสื่อโชเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นช่องทางของการเสพสื่อ ที่ทันสมัย สอดคล้องกับโลกในปัจจุบัน ที่ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย และเข้าถึงได้ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปดูไปชมการแสดงถึงสถานที่หน้าเวที
เป็นการแสดงบนยูทูปและติ๊กต็อก ที่เป็นคลิปสั้นๆ เน้นตลกโปกฮา สร้างอารมณ์ขันเป็นด้านหลัก แต่ก็มีผู้ติดตามที่มากพอสมควร เป็นการลงทุนไม่น้อยกว่าการแสดง ที่มีทั้งลูกคู่และอุปกรณ์การแสดง ที่ต้องใช้รถ 6 ล้อ ในการบรรทุกอุปกรณ์การแสดง ในขณะที่ค่าจ้างลดน้อยลง และที่สำคัญ บางครั้งผู้ที่มาชมการแสดงที่หน้าโรงหนัง อาจะน้อยกว่าลูกคู่และพนักงานของคณะหนังด้วยซ้ำ นี่หมายถึงนายหนัง ที่ชื่อเสียงยังไม่ดัง ซึ่งเป็นนายหนัง หรือคณะหนังรุ่นใหม่ ในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
“ชนนพัฒน์ นาคสั้ว” ผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชารัฐ เขตเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นบุคคล ที่มองเห็นถึงความไม่แน่นอนของอาชีพการเป็นคณะหนังตะลุงในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้กล่าวว่า ตนเองมองเห็นถึงปัญหาของนายหนังตะลุงและคณะหนังตะลุง ที่ประกอบด้วยผู้คนจำนวนหนึ่ง ที่ประกอบเป็นคณะหนัง แต่ละคณะ ไม่ต่ำกว่า 10 คน ที่เมื่อคณะหนังมีการแสดงน้อยลง ก็ต้องได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดน้อยลง ต้องประกอบอาชีพอื่นๆ เป็นอาชีพหลัก เพราะการเป็นลูกคู่ของการแสดงหนังตะลุง รายได้ไม่แน่นอน ซึ่งในระยะยาว ย่อมส่งผลกระทบถึงอาชีพการเป็นลูกคู่ ที่เป็นศิลปะของการเล่นดนตรี ที่อาจจะสูญหายไปในอนาคต เช่น นายปี่ นายทับ นายโหม่ง และมือซอ เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้ได้รับผลกระทบจากการที่หนังตะลุงมีผู้รับไปแสดงน้อยลง คือผู้ที่มีอาชีพในการแกะรูปหนัง ที่ใช้ในการแสดง ที่เป็นงานศิลปะในอีกแขนงหนึ่ง ที่เมื่อการแสดงของคณะหนังน้อยลง ความต้องการ “รูปหนัง” ก็จะน้อยลง ซึ่งกระทบกับรายได้และงานฝีมือที่อาจจะต้องเลิกราไปในที่สุด
“ในฐานะของ ส.ส. ที่เป็นผู้แทนในเขต 4 สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ผมมีนโยบายในการส่งเสริมการแสดงหนังตะลุง และการอนุรักษ์ศิลปะ ศิลปินพื้นบ้าน สาขาหนังตะลุง ที่มีอยู่ประมาณ 25-30 คณะ ให้สืบสานศิลปะวัฒนธรรม การเล่นหนังหรือการแสดงหนังตะลุง ให้มีรายได้ ที่ยึดเป็นอาชีพ มีงานการแสดง และมีการตั้งกองทุน หรือการได้รับการดูแล และการส่งเสริม จากหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคประชาชน”
“ขณะนี้ อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล อุปสรรค ปัญหาต่างๆ ของคณะหนังตะลุงในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง เพื่อเป็นแนวทางในการที่จะสืบสานศิลปะวัฒนธรรม การแสดงหนังตะลุง ให้เป็นอาชีพที่มั่นคง เพื่อให้ศิลปะการแสดงหนังตะลุงอยู่คู่กับประชาชนในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาสืบไป”
แน่นอน เรื่องของหนังตะลุง หรือการแสดงหนังตะลุง คือ เอกลักษณ์ของคนใต้ที่มีความสำคัญ ที่บอกถึงรากเหง้าของคนใต้ ที่เกี่ยวกับศิลปะวัฒนธรรม ที่ต้องดำรงไว้เพื่อให้อยู่คู่กับคนใต้ตลอดไป จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ ส.ส.ที่เป็นคนรุ่นใหม่ อย่าง “ชนนพัฒ์ นาคสั้ว” ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เขต 4 สงขลา มองเห็นถึงความสำคัญ และมีแนวทางในการส่งเสริมสนับสนุนการแสดงหนังตะลุง ในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาให้มั่นคงสืบไป
- สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย
- สมาคมหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย