The Agenda South

The Agenda South

The Agenda Southวาระภาคใต้ เชื่อมไทย เชื่อมโลก

อธิบดีบุปผา ดันสาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย โชว์ศักยภาพแรงงานไทยสู่นานาชาติ

@21 ก.ค. 2567 19:50

อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ผลักดันอาชีพการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยรองรับสังคมผู้สูงอายุ รุดให้กำลังใจเยาวชนตัวแทนประเทศไทย ระหว่างเก็บตัวฝึกซ้อมที่โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยว่า วันนี้ (19 กรกฎาคม 2567) มีโอกาสได้มาตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเยาวชนที่เป็นตัวแทนประเทศไทยที่อยู่ระหว่างการเก็บตัวฝึกซ้อม ในสาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย ซึ่งนางสาวอริยพร ลิ้มกมลทิพย์ หรือน้องแก้ม ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันในเวที WorldSkills Lyon 2024 ณ เมืองลียง สาธารณรัฐฝรั่งเศส มีกำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 3 – 17 กันยายน 2567 นี้ จากการตรวจเยี่ยมและพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ ผู้ฝึกสอน และน้องแก้ม ทำให้ทราบว่าน้องมีกำลังใจที่ดีมาก มีความตั้งใจและขยันฝึกซ้อม มีความมุ่งมั่นที่จะคว้าเหรียญรางวัลกลับมาฝากพี่น้องชาวไทยให้ได้ และเชื่อมั่นว่าการเก็บตัวฝึกซ้อมในช่วง 4 เดือนนี้ (พฤษภาคม – สิงหาคม) จะทำให้น้องมีทักษะเพิ่มมากขึ้น จึงขอเป็นตัวแทนของพี่น้องชาวไทยมาให้กำลังใจถึงสถานที่เก็บตัวฝึกซ้อม ขอให้ตั้งใจและเก็บเกี่ยวประสบการณ์นี้ไว้ไปปรับใช้ในการทำงานต่อไป ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คณะผู้เชี่ยวชาญ ที่สนับสนุนการเก็บตัวฝึกซ้อมพัฒนาทักษะต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

นางสาวบุปผา กล่าวต่อไปว่า สาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย เป็นสาขาอาชีพที่หลายประเทศมีความต้องการรับผู้มีทักษะในด้านนี้เข้าทำงานเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในเวทีการแข่งขันครั้งนี้ เป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะได้แสดงให้นานาประเทศได้เห็นทักษะฝีมือของไทยในด้านนี้ อีกทั้ง ผลการแข่งขันจะช่วยให้ประเทศไทยประเมินศักยภาพทักษะฝีมือได้อีกด้วย สำหรับน้องแก้มเป็น 1 ใน 22 คน ตัวแทนประเทศไทยที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานส่งเข้าร่วมการแข่งขันจากทั้งหมดทั้งหมด 19 สาขา ทุกสาขาอยู่ระหว่างการฝึกซ้อมตามสถานที่ต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้มอบหมายให้ผู้บริหารลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมและกำลังใจเยาวชนในสาขาอื่นด้วยเช่นกัน

ด้านของนางสาวอริยพร ลิ้มกมลทิพย์ หรือน้องแก้ม ซึ่งเป็นตัวแทนประเทศไทย กล่าวว่าขอขอบคุณกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คณะผู้เชี่ยวชาญที่ให้ความรู้และคอยให้คำแนะนำมาโดยตลอด และทำให้ความฝันเป็นจริง ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ซึ่งการเก็บตัวฝึกซ้อมมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ทักษะฝีมือของตนเองมีการพัฒนามากขึ้น มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมแข่งขันและตั้งเป้าหมายว่าจะคว้าเหรียญรางวัลมาฝากพี่น้องชาวไทย จะทำให้ดีที่สุดเพื่อชื่อเสียงของประเทศ จึงขอกำลังใจให้ตนเองและเพื่อนคนอื่นด้วย

กรมการจัดหางาน รับสมัครผู้ฝึกงานในประเทศญี่ปุ่น ผ่านองค์กร IM JAPAN ครั้งที่ 6

@21 ก.ค. 2567 19:42

กรมการจัดหางาน รับสมัครผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทยไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่น ผ่านองค์กร IM Japan ปี 2567 ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 1 - 31 ส.ค. 67 ยื่นใบสมัครทางออนไลน์ฟรี

นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน ประกาศรับสมัครคัดเลือกผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทยไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่นผ่านองค์กร IM Japan ปี 2567 ครั้งที่ 6 (เพศชาย) ในตำแหน่งผู้ฝึกปฏิบัติงานทางเทคนิค ประเภทงานอุตสาหกรรมการผลิตและงานก่อสร้าง อาทิ งานหล่อแบบ กลึง / ขึ้นรูป / ชุบ / เชื่อมโลหะ ประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ บำรุงรักษาเครื่องจักร บำรุงรักษารถยนต์ แปรรูปอาหาร ก่อสร้างแบบหล่อ ก่อสร้างโครงเหล็ก เดินท่อ เป็นต้น โดยเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 1 – 31 สิงหาคม 2567 ไม่เว้นวันหยุดราชการ ฟรีค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ เมื่อฝึกปฏิบัติงานครบ 3 ปี โดยผู้ผ่านการคัดเลือก เดือนแรกจะได้รับเบี้ยเลี้ยง 80,000 เยน หรือประมาณ 18,420 บาท ฟรี ค่าที่พัก ค่าน้ำ ค่าไฟ เดือนที่ 2 ถึงเดือนที่ 36 จะได้ค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายญี่ปุ่นกำหนด เมื่อสำเร็จการฝึกปฏิบัติครบ 3 ปี จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการฝึกงานทางเทคนิค และเงินสนับสนุนการประกอบอาชีพจำนวน 600,000 เยน หรือประมาณ 138,200 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2567) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพเมื่อเดินทางกลับประเทศไทย โดยผู้ที่สนใจสามารถสมัครสอบได้ที่เว็บไซต์ toea.doe.go.th ลงทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนคนหางาน และดำเนินการสมัครไปทำงาน โดยเลือกหัวข้อ "สมัครไปทำงานโดยรัฐจัดส่ง สมัครไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่น"

นายสมชาย กล่าวว่า คุณสมบัติเบื้องต้นเป็นเพศชาย อายุ 18 - 30 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือปริญาตรีไม่จำกัดสาขาวิชา สูงไม่ต่ำกว่า 160 เซนติเมตร สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ พ้นภาระทางทหาร ไม่มีรอยสักบนร่างกาย ไม่มีประวัติอาชญากรรม ไม่เคยทำงานหรือเข้าเมืองหรือพำนักโดยผิดกฎหมายหรือต้องห้ามเข้าญี่ปุ่น เป็นต้น สำหรับการสอบคัดเลือกจะใช้วิธีการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย และประเมินภาษาญี่ปุ่น  ณ ศูนย์สอบกรุงเทพมหานคร โดยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบ ภายในวันที่ 6 กันยายน 2567  ทางเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas และ facebook: IMthailand

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถศึกษาวิธีการลงทะเบียน คุณสมบัติผู้สมัครและเอกสารที่เกี่ยวข้องที่เว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ toea.doe.go.th รายการ “ข่าวประกาศรับสมัคร” หัวข้อ “ประกาศคณะอนุกรรมการจัดส่งผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทยไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่น เรื่อง การรับสมัครคัดเลือกผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทยไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่น โดยผ่านองค์กร IM Japan ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ครั้งที่ 6 (เพศชาย) ณ ศูนย์สอบกรุงเทพมหานคร” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทร. 0 2245 9428 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

ชาวสงขลาออกมาทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ เนื่องในวันเข้าพรรษา

@21 ก.ค. 2567 19:37

ชาวสงขลาออกมาทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ เนื่องในวันเข้าพรรษา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว มีความตั้งใจที่จะทำบุญตักบาตรตลอดพรรษา เข้าวัดปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา

วันนี้ (21 ก.ค.) ซึ่งเป็นวันเข้าพรรษา ที่บริเวณย่านการค้าวชิรา ถนนทะเลหลวง อ.เมือง จ.สงขลา ประชาชนชาวสงขลาได้นำอาหารหวานคาว ดอกไม้ธูปเทียนออกมาทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ เนื่องในเทศกาลวันเข้าพรรษา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

สำหรับในวันนี้มีประชาชนออกมาทำบุญตักบาตรเป็นจำนวนมาก พระสงฆ์ในเขตเทศบาลนครสงขลาออกมารับบิณฑบาต เนื่องจากเป็นวันแรกของการเข้าพรรษา รวมทั้งมีพระสงฆ์และสามเณรอีกส่วนหนึ่งจากวัดรอบนอกเขตเทศบาลนครสงขลาหลายวัดนั่งรถยนต์ของทางวัดเดินทางมารับบิณฑบาตในเขตเทศบาลนครสงขลาเช่นเดียวกัน ทำให้ประชาชนที่มีความตั้งใจมายืนรอเพื่อตักบาตรพระสงฆ์ สามารถตักบาตรได้อย่างทั่วถึง

โดยทุกคนที่ออกมาทำบุญตักบาตรในวันเข้าพรรษาวันนี้ มีความตั้งใจที่จะทำบุญตักบาตรตลอดพรรษา เข้าวัดปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา เพื่อขัดเกลาจิตใจให้เป็นคนดีมีศีลธรรม และน้อมนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาไปประพฤติปฏิบัติในวิถีชีวิต

“สรรเพชญ” ซัดรัฐบาล “ท่าดีทีเหลว” สงสัยเกรงใจกลุ่มทุนใหญ่ปล่อยให้ขูดเลือดเนื้อประชาชน

@19 ก.ค. 2567 18:03

สรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นต่อสถานการณ์ราคาพลังงาน ซัดรัฐบาล “ท่าดีทีเหลว” สงสัยเกรงใจกลุ่มทุนใหญ่ปล่อยให้เข้ามาขูดเลือดขูดเนื้อประชาชน

วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นต่อสถานการณ์ราคาพลังงาน โดยเฉพาะค่าไฟในครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยนายสรรเพชญ กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ค่าไฟที่ประชาชนต้องแบกรับเป็นสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เรื่องนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชน ทำให้ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าเพื่อการดำรงชีวิตหรือเพื่อการประกอบอาชีพ แม้ว่าล่าสุดรัฐบาลจะมีมาตรการตรึงค่าไฟ อยู่ที่ 4.18 บาท แต่ก็เป็นการตรึงราคาแค่ชั่วคราวเหมือนตำข้าวสารกรอกหม้อ พอจบระยะตรึงก็มาทำให้ประชาชนกังวลใหม่ว่าจะตรึงราคาต่อหรือไม่ เมื่อเกิดความกังวลและความไม่สบายใจกับประชาชนในลักษณะนี้ ประชาชนย่อมหวังว่ารัฐบาลจะเข้ามาดำเนินการเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้คลายความทุกข์ใจ

แต่จากที่ตนได้ติดตามสถานการณ์ ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนอย่างยั่งยืนได้เลย เพราะมีแต่นโยบายที่ลดค่าไฟเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ได้แก้ที่ต้นตอแล้วปัญหาค่าไฟแพงก็กลับมาซ้ำเติมประชาชนเหมือนเดิม อีกทั้งการตรึงค่าก็เป็นการสร้างภาระต้นทุนให้กับ กฟผ. ที่ต้องแบกรับภาระแทนประชาชน สุดท้ายแล้วผู้ที่ต้องร่วมกันชดใช้เงินส่วนนี้คือผู้ใช้ไฟฟ้าโดยไม่มีการจำแนกว่าจะรวยหรือจนเพราะต้องจ่ายค่าไฟเท่ากัน เป็นสิ่งที่ยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย โดยตนยังคงรอการแก้ไขกฎหมายตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพยายามให้ข้อมูลซึ่งก็ยังไม่เห็นความคืบหน้า ซ้ำร้ายกว่านั้นยังไม่เห็นภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เลย

นายสรรเพชญ ได้ยกตัวอย่างกรณีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ได้เปิด 3 ทางเลือก ค่าไฟ ซึ่งทั้ง 3 ทางเลือกนี้ยังคงต้องบวกค่า Ft ที่จะทำให้ค่าไฟมีราคาสูงขึ้นและรัฐบาลยังไม่ได้ยกเลิกค่า Ft แต่อย่างใด นายสรรเพชญ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลไม่ได้ทำงานอย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องนี้เลย นอกจากนี้สหภาพการไฟฟ้าก็ไม่ได้เห็นด้วยกับแนวทางการปรับขึ้นค่าไฟจึงได้มีการออกมาเรียกร้องแทนประชาชน อีกทั้งตนยังไม่เคยเห็นว่ารัฐบาลทำหน้าที่ในการเจรจากับกลุ่มทุนที่เป็นเสือนอนกินค่าพลังงานของประชาชนและเกิดคำถามว่ารัฐบาลกำลังยินยอมให้บริษัทเอกชนหรือกลุ่มทุนใหญ่เข้ามาขูดเลือดขูดเนื้อประชาชนใช่หรือไม่ และหากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนจะส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมที่อาจจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า

นายสรรเพชญ ได้กล่าวในตอนท้ายว่า ตนพอจะจำได้ว่าป้ายหาเสียงนโยบายของพรรคเพื่อไทย ว่าหากได้เป็นรัฐบาลค่าไฟจะลดทันที ซึ่งปัจจุบันรัฐบาล ก็ทำงานมาจะครบปีแล้วยังทำตามนโยบายตามที่หาเสียงไว้ไม่ได้ ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่ารัฐบาลกลัวอะไร หรือเกรงใจใครอยู่ จึงไม่กล้าทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม หรือหากรัฐบาลทำไม่ได้รัฐบาลก็ควรออกมาขอโทษกับประชาชนอย่างเป็นทางการไม่ใช่ปล่อยให้สถานการณ์บานปลายแล้วความตระหนกก็มาตกอยู่กับประชาชน

มูลนิธิปฏิบัติธรรมพระโพธิสัตว์กวนอิม นิมนต์พระสงฆ์ 108 รูป จัดพิธีเสริมดวงชะตา

@14 ก.ค. 2567 19:45

มูลนิธิปฏิบัติธรรมพระโพธิสัตว์กวนอิม เชิงเขาเทวดา จัดพิธีเสริมดวงชะตา โดยนิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 108 รูป มาสวดพระพุทธมนต์และสวดนพเคราะห์ มีชาวมาเลเซียจากรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซียและคณะกว่า 100 คน รวมทั้งพุทธศาสนิกชน ผู้ศรัทธาในพระโพธิสัตว์กวนอิมเข้าร่วมในพิธี

วันนี้ (14 ก.ค.) ที่ธรรมสถานพระโพธิสัตว์กวนอิม เชิงเขาเทวดา หมู่ที่ 5 บ้านดอนขี้เหล็ก (เยื้องโครงการสินไพบูลย์ชาเล่ย์) ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา มูลนิธิปฏิบัติธรรมพระโพธิสัตว์กวนอิม เชิงเขาเทวดา จัดพิธีเสริมดวงชะตาโดยนิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 108 รูป มาสวดพระพุทธมนต์และสวดนพเคราะห์ โดยมีนายธนพงศ์ ชัยหิรัญวงศ์ เจ้าของร้านบุญมาพานิชย์ ผู้ดูแลธรรมสถานพระโพธิสัตว์กวนอิม ดาโตะ อู่หย่งเชียะ จากรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซียและชาวมาเลเซียกว่า 100 คน สวมชุดสีขาว รวมทั้งพุทธศาสนิกชน ผู้ศรัทธาในพระโพธิสัตว์กวนอิม เข้าร่วมในพิธี รวมกว่า 150 คน

สำหรับชาวปีนังที่มาในวันนี้เป็นชาวปีนังตระกูลสงขลามาเสริมดวงชะตาโดยได้นิมนต์พระ 108 รูปมาสวดพระพุทธมนต์และสวดนพเคราะห์มาเสริมดวงชะตาให้เขาได้อยู่เย็นเป็นสุขโดยทุกคนเดินทางจากรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย หลังทำพิธีเสร็จก็จะเดินทางกลับปีนังในวันนี้ในช่วงเย็น

ธรรมสถานพระโพธิสัตว์กวนอิม หมู่ที่ 5 บ้านดอนขี้เหล็ก เชิงเขาเทวดา ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา สร้างขึ้น ด้วยความศรัทธาของชาวเมืองสงขลาและผู้เลื่อมใสทั่วภาคใต้ ตลอดจนชาวจีนในประเทศมาเลเซีย ได้ร่วมกันสร้าง ธรรมสถานพระโพธิสัตว์กวนอิม จนสำเร็จลุล่วงเรียบร้อย ใช้เวลาในการก่อสร้างมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2544 ใช้เวลาเกือบ 22 ปี เป็นการก่อสร้างตามกำลังงบประมาณที่มีคนบริจาค รวมเป็นงบประมาณทั้งสิ้น 175 ล้านบาท จนปัจจุบันนี้ ได้กลายเป็นธรรมสถานที่มีความสวยงาม มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการปฏิบัติธรรมของพี่น้องประชาชนที่มีความศรัทธาต่อองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม ของพี่น้องชาวจีนในจังหวัดสงขลารวมทั้งบรรดาชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะพี่น้องจากประเทศมาเลเซียเชื้อสายจีน ที่ได้มีส่วนในการร่วมทำบุญในการก่อสร้างและสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานด้วยความเชื่อว่า ธรรมสถานแห่งนี้ตั้งอยู่เขาเทียมดา ที่เป็นขุนเขาที่เป็นที่สิงสถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ประกอบกับทราบว่า ธรรมสถานแห่งนี้มีตำนานเล่าขานในเรื่องปาฏิหาริย์ต่างๆ ในระหว่างการก่อสร้าง ก่อนจะมาเป็นธรรมสถานอย่างที่เห็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้

สถานการณ์ - ปรากฎการณ์

นักท่องเที่ยวเดินทางเลือกซื้อของฝากขึ้นชื่อของเกาะยอ ก่อนเดินทางกลับภูมิลำเนา

@22 ก.ค. 2567 14:38

นักท่องเที่ยวเดินทางไปเลือกซื้อสินค้าของฝากขึ้นชื่อของเกาะยอ จ.สงขลา ก่อนเดินทางกลับภูมิลำเนา หลังเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดสงขลาช่วงหยุดยาววันอาสาฬหบูชา 3 วัน

วันที่ 22 กรกฎาคม 2567 นักท่องเที่ยวเดินทางเลือกซื้อของฝากของที่ระลึกที่บริเวณตลาดเกาะยอ อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าทุกชนิดของชาวเกาะยอ ทั้งผ้าทอเกาะยอ สินค้าอาหารทะเลกุ้งหอยปูปลาตากแห้ง เพื่อนำไปเป็นของฝากให้กับผู้ใหญ่ที่นับถือ ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูง ก่อนเดินทางกลับภูมิลำเนา หลังเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดสงขลาช่วงหยุดยาววันอาสาฬหบูชา 3 วัน

สำหรับสินค้าที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่จะเลือกซื้อสินค้าประเภทอาหารทะเลตากแห้ง ซึ่งได้แก่ ปลาหมึกตากแห้ง ปลาแดดเดียว  กุ้งแห้ง ปลาแห้ง ตลอดจนเม็ดมะม่วงหิมพานต์และสินค้าชนิดอื่นๆอีกมากมายที่มีในตลาดเกาะยอ รวมทั้งเสื้อผ้าบาติก ที่มีหลากหลายสีหลากหลายสไตล์ มีให้เลือกอย่างมากมาย ราคาไม่แพง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชอบที่จะมาหาซื้อเสื้อผ้าบาติกกันที่เกาะยอ และผ้าทอเกาะยอ ที่เป็นงานฝีมือของชาวชุมชนเกาะยอและเป็นสินค้า OTOP ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศของเกาะยอ อีกด้วย

แม่ค้าขายสินค้าสัตว์น้ำตากแห้ง บอกว่า ในปีนี้สินค้าขายดีกว่าทุกปีที่ผ่านมา ยอดขายเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะ ปลาหมึกตากแห้ง ปลาแดดเดียว  กุ้งแห้ง ปลาแห้ง มีนักท่องเที่ยวและประชาชนมาหาซื้อไปเป็นของฝากกันเป็นจำนวนมาก เมื่อมาเที่ยวจังหวัดสงขลาแล้วทุกคนมักจะมุ่งมาหาของฝากที่นี่ เพราะได้เดินทางมากินอาหารที่เกาะยอกินปลากะพงสดๆแล้ว ก็แวะมาซื้อของฝากจากเกาะยอติดมือไปด้วยเนื่องจากสินค้าของเรามีคุณภาพเชื่อถือได้แถมราคาไม่แพงอย่างที่คิด

รมช.มหาดไทย ลงพื้นที่นราธิวาสร่วมงานการกุศลและรับฟังปัญหาคนในพื้นที่

@22 ก.ค. 2567 14:28

“ชาดา ไทยเศรษฐ์” รมช.มหาดไทย ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาสร่วมงานการกุศลและรับฟังปัญหาคนในพื้นที่ พร้อมผลักดันการแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายสูงของผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2567 ที่มัสยิดดารุลนาอีม บ้านบาเละบาโร๊ะ ม.2 ต.กาลิซา อ.ระแงะ จ.นราธิวาส นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางมาปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส โดยเดินทางมาร่วมงานการกุศลมัสยิดดารุลนาอีม โดยมีว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส นายวีรพัฒน์ บุณฑริก รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ดร.ซาการียา สะอิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนราธิวาสเขต 4 ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ

สำหรับมัสยิดดารุลนาอีมจัดงานในครั้งนี้เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาร่วมรับประทานอาหารและร่วมบริจาคในงานการกุศลเพื่อหารายได้ซ่อมแซมและต่อเติมมัสยิดให้แล้วเสร็จ ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวน 1,500,000 บาท โดยกิจกรรมภายในงาน มีการจัดเลี้ยงอาหารแก่พี่น้องประชาชนที่มาร่วมงาน และท่านใดที่ไม่สามารถมาร่วมงานสามารถสมทบทุนบริจาคเงินผ่านบัญชี ธนสาครออมสิน เลขที่บัญชี 0204284862353

นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติ และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาร่วมงานการกุศลที่ทางมัสยิดดารุลนาอีม และที่มาในวันนี้ก็จะมาดูสภาพเศรษฐกิจในพื้นที่ว่ามีปัญหาอะไรบ้าง อาทิ ปัญหาน้ำประปา ปัญหาไฟฟ้า ซึ่งเป็นในส่วนของมหาดไทยดูแลอยู่ จะได้นำกลับไปปรับปรุงแก้ไข แก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ซึ่งไฟฟ้ากับน้ำประปาถือว่าเป็นปัญหาพื้นฐาน อย่างในปี พ.ศ.2569 นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้บอกไว้ว่าประปาภูมิภาคต้องไปถึงทุกอำเภอ ปัจจุบัน 900 อำเภอ ประปาภูมิภาคไม่ถึง 100 และที่มีอยู่ก็ไม่เต็มอำเภอ ก็เป็นเรื่องที่กำลังหาวิธีการว่าจะทำอย่างไรให้ทุกอำเภอมีประปา

และในส่วนของไฟฟ้า ในกรณีที่ไม่ใช่พื้นที่ป่าสงวน พื้นที่ไม่ได้อยู่ในเขตป่าไม้ ไม่ได้อยู่ในเขตอนุรักษ์ ไม่มีปัญหาอะไรก็เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการให้จบทุกอำเภอ ในวันนี้ก็มาดูสภาพของในจังหวัดนราธิวาส ซึ่งมีหลายแห่งที่ยังไม่มีประปาและไฟฟ้า ซึ่งต้องมาดูกันอีกว่าติดปัญหาตรงไหนที่ยังไม่มีประปาและไฟฟ้าใช้ แต่ที่แล้วมาเวลาติดปัญหาเราไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ซึ่งจะให้ สส.ในพื้นที่ช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้

“บรรจุภัณฑ์จากแกลบ” ผลงานนักวิจัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ทักษิณ

@22 ก.ค. 2567 14:13

บรรจุภัณฑ์จากแกลบ ต้นแบบของใช้ย่อยสลายได้จากเศษเหลือทิ้งทางการเกษตร ลดขยะพลาสติก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผลงานนักวิจัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ทักษิณ

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตขยะพลาสติก นวัตกรรมใหม่จากมหาวิทยาลัยทักษิณกำลังเปิดมิติใหม่ในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยียางเพื่อชุมชน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ทีมนักวิจัยนำโดย ดร. พรศิริ โต๊ะแอ กำลังทำให้สิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นขยะกลายเป็นทรัพยากรมีค่า พวกเขากำลังเปลี่ยนแกลบ ฟางข้าว ใยมะพร้าว ชานอ้อย และแม้แต่กากกาแฟ ให้กลายเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม "เราเห็นโอกาสในการแก้ปัญหาสองเรื่องพร้อมกัน" ดร. พรศิริกล่าว "ทั้งการจัดการของเสียทางการเกษตรสามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และการเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรอีกทางหนึ่ง ทีมข่าว TSU NEWS ได้สัมภาษณ์นักวิจัยถึงประเด็นดังกล่าาว

ดร. พรศิริ โต๊ะแอ รองผู้จัดการศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยียางเพื่อชุมชน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ให้ข้อมูลว่า การผลิตบรรจุภัณฑ์จากแกลบ ต้นแบบของใช้ย่อยสลายได้จากเศษเหลือทิ้งทางการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  ซึ่งเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคลดการเกิดขยะพลาสติก เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยมีขยะพลาสติกปีละกว่า 2 ล้านตัน แต่ถูกนำกลับมารีไซเคิลเพื่อหมุนเวียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เพียง 0.5 ล้านตัน ส่วนที่เหลือใช้การฝังกลบและบางส่วนปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม จนสร้างปัญหาตามมามากมายทั้งต่อคน สัตว์ และระบบนิเวศ และจากงานวิจัยต่าง ๆ พบว่าพลาสติกจากสารตั้งต้นปิโตรเลียมต้องใช้เวลาในการย่อยสลายมากกว่า 400 ปี จึงจะทำให้ย่อยสลายได้หมด สำหรับการจัดการขยะพลาสติกในประเทศไทยรัฐบาลได้มีมติรับร่าง Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ เพื่อใช้เป็นกรอบนโยบายการบริหารจัดการขยะพลาสติกในภาพรวมของประเทศ ทำให้ปัจจุบันธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการหาวัสดุทดแทนการใช้งานพลาสติกจากปิโตรเลียม เช่น พอลิเมอร์ที่ผลิตจากอ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง เป็นต้น แต่พลาสติกชีวภาพมีลักษณะที่แข็งและค่อนข้างเปราะ และยังคงมีราคาแพง

อธิบดีบุปผา ดันสาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย โชว์ศักยภาพแรงงานไทยสู่นานาชาติ

@21 ก.ค. 2567 19:50

อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ผลักดันอาชีพการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยรองรับสังคมผู้สูงอายุ รุดให้กำลังใจเยาวชนตัวแทนประเทศไทย ระหว่างเก็บตัวฝึกซ้อมที่โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยว่า วันนี้ (19 กรกฎาคม 2567) มีโอกาสได้มาตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเยาวชนที่เป็นตัวแทนประเทศไทยที่อยู่ระหว่างการเก็บตัวฝึกซ้อม ในสาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย ซึ่งนางสาวอริยพร ลิ้มกมลทิพย์ หรือน้องแก้ม ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันในเวที WorldSkills Lyon 2024 ณ เมืองลียง สาธารณรัฐฝรั่งเศส มีกำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 3 – 17 กันยายน 2567 นี้ จากการตรวจเยี่ยมและพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ ผู้ฝึกสอน และน้องแก้ม ทำให้ทราบว่าน้องมีกำลังใจที่ดีมาก มีความตั้งใจและขยันฝึกซ้อม มีความมุ่งมั่นที่จะคว้าเหรียญรางวัลกลับมาฝากพี่น้องชาวไทยให้ได้ และเชื่อมั่นว่าการเก็บตัวฝึกซ้อมในช่วง 4 เดือนนี้ (พฤษภาคม – สิงหาคม) จะทำให้น้องมีทักษะเพิ่มมากขึ้น จึงขอเป็นตัวแทนของพี่น้องชาวไทยมาให้กำลังใจถึงสถานที่เก็บตัวฝึกซ้อม ขอให้ตั้งใจและเก็บเกี่ยวประสบการณ์นี้ไว้ไปปรับใช้ในการทำงานต่อไป ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คณะผู้เชี่ยวชาญ ที่สนับสนุนการเก็บตัวฝึกซ้อมพัฒนาทักษะต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

นางสาวบุปผา กล่าวต่อไปว่า สาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย เป็นสาขาอาชีพที่หลายประเทศมีความต้องการรับผู้มีทักษะในด้านนี้เข้าทำงานเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในเวทีการแข่งขันครั้งนี้ เป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะได้แสดงให้นานาประเทศได้เห็นทักษะฝีมือของไทยในด้านนี้ อีกทั้ง ผลการแข่งขันจะช่วยให้ประเทศไทยประเมินศักยภาพทักษะฝีมือได้อีกด้วย สำหรับน้องแก้มเป็น 1 ใน 22 คน ตัวแทนประเทศไทยที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานส่งเข้าร่วมการแข่งขันจากทั้งหมดทั้งหมด 19 สาขา ทุกสาขาอยู่ระหว่างการฝึกซ้อมตามสถานที่ต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้มอบหมายให้ผู้บริหารลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมและกำลังใจเยาวชนในสาขาอื่นด้วยเช่นกัน

ด้านของนางสาวอริยพร ลิ้มกมลทิพย์ หรือน้องแก้ม ซึ่งเป็นตัวแทนประเทศไทย กล่าวว่าขอขอบคุณกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คณะผู้เชี่ยวชาญที่ให้ความรู้และคอยให้คำแนะนำมาโดยตลอด และทำให้ความฝันเป็นจริง ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ซึ่งการเก็บตัวฝึกซ้อมมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ทักษะฝีมือของตนเองมีการพัฒนามากขึ้น มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมแข่งขันและตั้งเป้าหมายว่าจะคว้าเหรียญรางวัลมาฝากพี่น้องชาวไทย จะทำให้ดีที่สุดเพื่อชื่อเสียงของประเทศ จึงขอกำลังใจให้ตนเองและเพื่อนคนอื่นด้วย

หัวข้อทั้งหมด

เคียงข่าว - วิเคราะห์

เปิดเบื้องลึกจับ “แป้ง นาโหนด” ขยายผลคดีเรียกค่าไถ่ 3 หนุ่มอินโดนีเซียที่พัทลุง

@30 พ.ค. 2567 20:17

ตำรวจอินโดฯ ขยายผลจากการที่ตำรวจไทยบุกช่วยชาวอินโดฯ ที่ถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ที่ จ.พัทลุง พบความจริงเป็นตัวประกันแก๊งค์ค้ายาติดเงินค่าไอซ์ 2 ล้านบาท ส่งลูกน้องมาเป็นตัวประกันให้ “แป้ง นาโหนด” ขยายผลจนจับตัวได้

วันนี้ (30 พ.ค.) จากกรณีที่มีการจับกุมตัวนักโทษชายเชาวลิต ทองด้วง หรือ “แป้ง นาโหนด” ได้ที่ประเทศอินโดนีเซียนั้น มีรายงานว่า นายเชาวลิตยังคงมีพฤติกรรมค้ายาเสพติดข้ามชาติผ่านกลุ่มค้ายาเสพติดใน จ.พัทลุงและสงขลา มีลูกค้าเป็นชาวอินโดนีเซีย

ล่าสุดเมื่อต้นเดือน พ.ค. แป้ง นาโหนดได้ขายยาเสพติดให้แก็งค์ค้ายา ชาวอินโดนีเซีย ส่งยาไอซ์ล๊อตใหญ่ ให้ แต่พ่อค้าชาวอินโดนีเซียมีปัญหาเงินค่ายาไม่พอ ยังค้างอยู่ 2 ล้านบาท พ่อค้าชาวอินโดนีเซียจึงให้เพื่อนร่วมแก๊งค์ชื่อนายชาวาลาเป็นตัวประกัน โดยมีชาวไทยจาก จ.นราธิวาส 2 คน ทำหน้าที่เป็นล่าม และซัดทอดตำรวจหญิงประจำ บชภ.9 ว่าเป็นคนขับรถมารับคนทั้ง 3 ไปควบคุมตัวไว้ที่บ้านหลังหนึ่ง ใน ต.ท่าแค อ.เมือง จ.พัทลุง

แต่หลังจากที่สมุนของแป้ง นาโหนด ควบคุมตัวนาย ชาวาลา ไว้หลายวัน แก๊งค์ยาเสพติดยังจ่ายเงิน 2 ล้านบาทให้แป้งไม่ได้  นายชาวาลาต้องการให้สมุนของแป้งปล่อยตัว แต่สมุนของแป้งไม่ยอม จึงมีการจัดฉากว่าถูกจับตัวมาเรียกค่าไถ่ และถูกซ้อมทรมานพร้อมทั้งส่งคลิปให้น้องสาว ที่อยู่ในประเทศอินโดนีเซียให้โอนเงิน 2 ล้านบาทมาไถ่ตัว

น้องสาวนายชาวาลา โอนเงินมาเพียง 8 แสนบาท และได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียว่า พี่ชายถูกแก็งค์เรียกค่าไถ่ ที่ จ.พัทลุง จับกุมและซ้อมทรมาน โดยส่งโลเคชั่น สถานที่ควบคุมตัวที่ พัทลุง ให้ตำรวจด้วย ตำรวจอินโดฯ จึงประสานงานกับสถานฑูตอินโดในประเทศไทย และสถานกงสุลใหญ่อินโดฯ ใน จ.สงขลา มีการแจ้งให้ ผบช.ภ.9 พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ดำเนินการช่วยเหลือ ซึ่งตำรวจได้บุกไปช่วยออกมาจากบ้านพี่ของภรรยานายเชาวลิต เมื่อวันที่ 14 พ.ค.

หลังจากที่ตำรวจอินโดนีเซียทราบรายละเอียดถึงสาเหตุการจับตัวชาวอินโดฯ ว่า เป็นแก๊งค์ยาเสพติดข้ามชาติ จึงขยายผล จนพบว่าเกี่ยวพันกับนายเชาวลิต นักโทษที่หลบหนีคดีจากประเทศไทย และมีหมายจับอินเตอร์โพล (หมายแดง) จึงติดตามจับกุมได้ที่เกาะบาหลี ซึ่งนายเชาวลิตเดินทางจากบ้านพักที่เมืองเมดาน ไปท่องเที่ยวยังเกาะบาหลี

หลังจากการจับกุมจึงได้แจ้งให้ทางประเทศไทยให้ทราบ ส่วนจะมีการส่งตัวนายเชาวลิตมาให้ประเทศไทยเมื่อไหร่นั้น ต้องดูว่า อินโดนีเซีย จะดำเนินคดีกับแป้ง ในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองก่อนหรือไม่

เปิดโปงผลประโยชน์เว็บพนันออนไลน์ จาก “มินนี่” สู่เจ๊แหม่มและเสี่ย อ.อ่าง 'หัวเบี้ยมือเก็บส่วย' ที่โด่งดังในวงการตำรวจภาคใต้

@20 ธ.ค. 2566 16:18

โดย.. เมือง ไม้ขม

หลายวันก่อน ตำรวจ PCT จากส่วนกลาง นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ. ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการตำรวจ PCT นำกำลังจู่โจมเข้า ตรวจค้นห้องพักในคอนโดแห่งหนึ่ง พื้นที่เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “บ่อนการพนันออนไลน์” ขนาดใหญ่ในหาดใหญ่ ที่ชื่อว่า “วีนัส มาสเตอร์” (Venus Master) มีสมาชิกถึง 40,000 คน เชื่อมโยงกับเว็บไซต์การพนันออนไลน์ขนาดใหญ่ “betfixroya.com” และเครือข่ายที่เป็นของ “มินนี่” เจ้าแม่บ่อนออนไลน์ชื่อก้องประเทศ โดยในการเข้าทลายบ่อนออนไลน์ ที่เปิดอยู่ในคอนโดครั้งนี้ ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ 36 คน และหนึ่งในนั้นคือ “แหม่ม” ผู้ควบคุมดูแลวีนัส มาสเตอร์ ที่แหล่งข่าวระบุว่า มีเครือข่ายใน จ.สงขลาและใกล้เคียงถึง 700 กว่าสาขา

แหล่งข่าวยังได้เปิดโปงต่อไปว่า “วีนัส มาสเตอร์” ที่ตำรวจ PCT เข้าจับกุมแห่งนี้ ไม่ได้ส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บการพนันที่เป็นของ “นักการเมือง” ใน จ.สงขลา ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ไม่ใช่ของเสี่ย ก. เสี่ย ถ. และเสี่ย ป. แต่เป็นของ “คนมีสี” ที่เป็น “สีกากี” เป็นตำรวจรุ่น 61 ส่วนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “นายตำรวจคนดังของภาคใต้” และลูกน้องทั้ง 8 คน ที่เกี่ยวข้องกับเว็บหวยออนไลน์ของมินนี่หรือไม่ อย่างไร ก็ต้องเสาะหากันเอง

ที่สำคัญ “วีนัส มาสเตอร์” มีสาขาหรือเครือข่ายถึง 700 กว่าแห่ง กระจายอยู่ทั่วเหมือนกัแฟรนไชส์สินค้า ที่มีผู้สนใจเปิดบ่อนการพนันออนไลน์นำไปเปิดในตำบล อำเภอต่างๆ เพื่อเป็นแหล่งทำเงินในการหลอกลวงประชาชนให้เล่นการพนัน

และผู้ที่ถูกระบุว่า เป็น “หัวเบี้ย” หรือ “ผู้ที่เก็บส่วย” ให้หน่วยงานของรัฐ เพื่อมิให้ไปรบกวนแหล่งรับแทงหรือเล่นการพนันออนไลน์ ทั้งหมดคือ “เสี่ย อ.อ่าง” ที่ถูกขนามนามว่าเป็น “หัวเบี้ยอันดับหนึ่ง” ของวงการสีกากีใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นหัวเบี้ย ที่เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของนายตำรวจระดับนายพล จนถึงระดับนายพัน ในระดับกองบังคับการและ “นาย” ใน บชภ.9

มีการระบุว่า การจ่ายส่วยของเครือข่าย “วีนัส มาสเตอร์” ทั้ง 700 กว่าแห่ง ต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้เสี่ย อ อ่างแห่งละ 150,000 บาทต่อเดือน เพื่อไม่ให้ตำรวจและฝ่ายปกครองในพื้นที่เข้าไปจับกุมหรือแวะเวียนไป “รบกวน” ให้ยุ่งยาก เพราะบ่อนออนไลน์ ที่ถูกรบกวนจากเจ้าหน้าที่บ่อยๆ ลูกค้าจะไม่นิยม

วันนี้ “แหม่ม” และผู้ต้องหาทั้ง 36 คน ที่ตำรวจ PCT นำไปสอบสวนยังส่วนกลาง จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์หรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่เท่าที่ทราบ “เสี่ย อ.อ่าง” ผู้เป็นหัวเบี้ยและสาขาของ “วีนัส มาสเตอร์” ยังเปิดให้แทง โดยยังไม่ได้มีการจับกุมจากเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะตำรวจในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีบ่อนออนไลน์ตั้งอยู่ ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เหมือนกับว่า หน้าที่ในการจับกุมบ่อนการพนันออนไลน์เป็นหน้าที่ของตำรวจ PCT เพียงหน่วยเดียว หาใช่เป็นของตำรวจท้องที่และฝ่ายปกครองไม่

ประเด็นสำคัญคือ บ่อนออนไลน์ที่เปิดได้และเล่นได้ โดยไม่ถูกรบกวนจากตำรวจในพื้นที่นั้น ส่วนใหญ่หรือทั้งหมดก็ว่าได้ ต้องมีตำรวจระดับสูง ที่เป็นนายพลและนายพันเข้าไปเกี่ยวข้อง บางเครือข่ายเป็นเจ้าของร่วมกับนายทุน บางเครือข่ายเป็นผู้คุ้มครอง ในฐานะที่เป็นหุ้นลม เพื่อเรียกรับผลประโยชน์

ตัวอย่างของตำรวจ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีและหลบหนี เช่น “สารวัตรซัว” ที่ถูกอายัดทรัพย์ 7,000 ล้านบาท “ผกก.ไบร์ท” ที่ถูกดาราชื่อดังออกมาแฉว่า เป็นเจ้าของบ่อนออนไลน์ จนอื้อฉาวในวงการสีกากี และกลุ่มนายตำรวจ 8 นาย ที่เป็นคนใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่อยู่ระหว่างการถูกกล่าวหาจากตำรวจ PCT ในขณะนี้ และการจับกุมบ่อนพนันออนไลน์ “วีนัส มาสเตอร์” ใน อ.หาดใหญ่ครั้งล่าสุด ก็มีนายตำรวจระดับ พ.ต.ท. ที่เป็นนายตำรวจใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล ถูกกล่าวหา และไปมอบตัว เพื่อขอสู้คดีอยู่ด้วย

ประเด็นที่สังคมสงสัยและต้องการให้ตำรวจ PCT ดำเนินการให้สะเด็ดน้ำคือ กลุ่มผู้เป็นเจ้าของวีนัส มาสเตอร์ ที่มีข่าวว่า เป็นของตำรวจรุ่น 61 นั้นเป็นใคร และตำรวจ PCT ต้องสาวให้ถึง เพื่อเอามาเป็นผู้ต้องหา เพราะผู้ต้องหาทั้ง 36 คนที่จับได้ เป็นเพียงปลายแถว ที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานรับแทงในบ่อนเท่านั้น อีกทั้ง “แหม่ม” สาวใหญ่ ที่เป็นผู้ดูแลและถูกกวาดต้อน แม้จะเป็นคนสำคัญในวีนัส มาสเตอร์ แต่ก็ไม่ใช่ตัวการใหญ่

รวมทั้ง คนสำคัญอย่าง “เสี่ย อ.อ่าง” ผู้ที่รู้เรื่องการจ่ายส่วย ที่เก็บจาก “วีนัส มาสเตอร์” และเครือข่าย 700 กว่าแห่ง เดือนละกว่า 10 ล้านบาท ก็ยังไม่ถูกจับกุม ซึ่งหาก “เสี่ย อ.อ่าง” กลายเป็นผู้ต้องหาด้วย อย่างน้อย ถ้าตำรวจ PCT ทำให้คายความจริงออกมาได้ ก็จะได้รู้ว่า ตำรวจระดับ “นายพล” จนถึง ”นายพัน” ที่เป็นผู้บังคับหน่วยในพื้นที่มีการรับส่วยจากวีนัส มาสเตอร์ และเครือข่าย เดือนละเท่าไหร่

สุดท้าย “หาดใหญ่” และอำเภออื่นๆ ของจังหวัดสงขลา คือแหล่งการพนันออนไลน์ ที่เป็นแหล่งอบายมุขที่ใหญ่โต ไม่แพ้ จ.นครศรีธรรมราช สุราษฎรธานี ภูเก็ต และอื่นๆ เป็นที่หลอกลวงให้ผู้คนหลงใหลในอบายมุขจนหมดเนื้อหมดตัว หมออนาคต ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และเยาวชน เพื่อทำเงินให้กลุ่มตำรวจ ที่อยู่เบื้องหลัง

และนี่สำคัญ หาดใหญ่ สงขลา ไม่ได้มีแค่ “วีนัส มาสเตอร์” ที่เพิ่งถูกทลายห้าง แต่ยังมีบ่อนการพนันออนไลน์อีกมากมาย ที่เป็นดอกเห็ด ทั้งของ เสี่ย ถ. เสี่ย ก. เสี่ย ป. และอีกหลายๆ เสี่ย ซึ่งหลายคนเดินอยู่ในสภาฯ ในฐานะของผู้ทรงเกียรติรวมอยู่ด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มหึมาของสังคมไทย ที่หน่วยงานในพื้นที่ต้องช่วยกันปัดกวาด เพราะนี้คือขยะสังคม คือปัญหาสังคมของจังหวัดสงขลา เป็นเรื่องที่ “สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญให้มากกว่าเรื่องจัดระเบียบจราจร ที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ เพราะนั่นเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ที่นายอำเภอกับเทศบาลก็จัดการได้ ทำเรื่อง “บ่อนออนไลน์” ให้สำเร็จ รับรองว่า ชาวสงขลาจะปรบมือให้ท่านสนั่นเมืองแน่นอน

โฆษกพรรคประชาชาติ ชี้แจงเหตุมีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

@7 ก.ย. 2566 10:10

สส.กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ โฆษกพรรคประชาชาติ ชี้แจงเหตุมีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวานนี้

โดยมีการชี้แจงดังนี้

เรียนพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน ผม นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ในนามโฆษกพรรคประชาชาติ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 7 ท่าน ของพรรคประชาชาติ เรามาแถลงข่าววันนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ วันที่ 5 กันยายน 2566 มีท่านณฐพร โตประยูร ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ดำเนินการยุบพรรคประชาชาติ โดยอาศัยอ้างเหตุพฤติการณ์ว่าพรรคประชาชาติมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองโดยเอาเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 จากกรณีที่ขบวนการนักศึกษาปัตตานีทำเวทีประชามติที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินท์ ปัตตานี มอ.ปัตตานี ว่า ให้มีการทำประชามติแบ่งแยกดินแดน แล้วก็อ้างว่าพรรคประชาชาติ มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเป็นที่มาว่าการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กระทำไม่ได้ แล้วอ้างเหตุทำนองลักษณะว่าพรรคประชาชาติ เรามีส่วนเกี่ยวข้องการจัดทำประชามติในครั้งนั้น

ประเด็นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2566 ภายหลังที่มีเวทีการทำประชามติตั้งแต่นั้น ก็ปรากฏข่าวตามสื่อมวลชนมาโดยตลอด และทางพรรคก็ได้ชี้แจงมาโดยตลอดเช่นกัน ในส่วนข้อเท็จจริงที่พยายามโยงให้พรรคประชาชาติต้องการที่จะยุบพรรคประชาชาติ ในขณะนั้น เราเข้าใจว่าวันนี้เรื่องเหล่านี้น่าจะเป็นที่เข้าใจว่าประชาชาติเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรม แล้วก็ชี้แจงอย่างนี้มาโดยตลอด แต่อยู่ดีๆเมื่อวานมีคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เท่าที่ติดตามข่าว คุณณฐพร เขาไปยื่นต่ออัยการก่อน ตามมาตรา 49 ตามรัฐธรรมนูญปี 60 พออัยการไม่รับพิจารณาภายใน 15 วัน จึงได้ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรค

กรณีนี้หลังเกิดเหตุ เราไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการชี้แจงต่อฝ่ายสืบสวนสอบสวนคณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้อเท็จจริงเนื่องจากว่าการจัดกิจกรรมเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 ของขบวนการนักศึกษา พรรคประชาชาติขอย้ำว่า เราไม่ได้เป็นผู้ร่วมจัดกิจกรรม พูดง่ายๆก็คือ  เราไม่ได้เป็นเจ้าภาพในการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพียงแต่ว่าการจัดกิจกรรมนักศึกษา เขาได้มีหนังสือเชิญถึงพรรคประชาชาติให้ไปร่วมเป็นวิทยากรในช่วงบ่าย ทางพรรคก็ได้มีหนังสือให้ทาง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่เขตอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี คือท่าน ดร.วรวิทย์ บารู ในฐานะที่เป็นอดีตรองอธิการ มอ.ปัตตานี แล้วก็เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขต อำเภอเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มอ.ปัตตานี ไปร่วมเป็นวิทยากรในช่วงบ่าย ส่วนการทำประชามติในวันนั้น เป็นการทำประชามติในช่วงเช้า ช่วงบ่ายหัวข้อที่พูดบนเวทีก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดน

ด้วยพฤติการทั้งหมด เราขอยืนยันว่า เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำกิจกรรม หนังสือเชิญหลักฐานต่างๆ เราพร้อมที่จะชี้แจง ก่อนหน้านี้ที่ผมได้เรียนตั้งแต่ต้นว่า เราได้ชี้แจงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งไปทั้งหมดแล้ว พรรคประชาชาติขอยืนยันว่าตลอดระยะเวลาการจัดตั้งพรรคประชาชาติขึ้นมาตลอดระยะเวลาหลายปี เรายืนยันมาโดยตลอดว่าเราดำเนินการ ถึงแม้ว่าเราอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่ๆมีความล่อแหลมในมิติของความมั่นคง แต่การดำเนินกิจกรรมต่างๆ การทำงานในฐานะพรรคฝ่ายค้านตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เราดำเนินการกิจกรรมทางการเมืองทำงานการเมืองเพื่อพี่น้องประชาชนภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ 2560 นั้นก็คือ เราส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติย์ทรงเป็นประมุข หากคำร้องที่ทางฝ่าย คุณ ณฐพร ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญรับไว้หลังจากนี้ เราพร้อมที่จะชี้แจงว่าเราไม่ได้มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองตามที่ถูกกล่าวหา กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ โฆษกพรรคประชาชาติ กล่าว

สส.วรวิทย์ บารู ชี้แจงประเด็น

ผมมีสองสามประเด็นที่จะแจ้งให้พี่น้องสื่อมวลชนได้ทราบ ประเด็นที่หนึ่งก็คือเราได้รับเชิญจากผู้จัดให้ไปเป็นวิทยากรร่วมเสวนากับวิทยากรอีกสองสามท่านเราไปในลักษณะที่เป็นวิทยากรโดยไปในช่วงเวลาที่ใกล้ถึงเวลาของเราเกือบจะสิ้นสุดปลายแล้วน่ะครับ แล้วก็ประเด็นที่สอง หัวข้อที่ไปพูดเป็นหัวข้อ “self determination “ น่ะครับ ก็คือการ… ตนเอง น่ะครับ การ self determination ก็พูดในกรอบนี้แล้วก็ในพรรคของเราเองเนื่องว่าเป็นพรรคซึ่งแม้ว่าเราอยู่ที่นั่นเหมือนที่โฆษกเราได้พูดไป แล้วก็สมาชิกเรามีทั่วประเทศไม่ใช่เฉพาะในกลุ่มนับถือศาสนาอิสลามอย่างเดียว แล้วก็มีทางด้านฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต. อยากทราบข้อมูลรายละเอียด ผมก็เดินทางไปให้ข้อมูล ณ กกต. จังหวัดปัตตานีน่ะครับ และไม่เคยได้รับการเชิญหรือเรียกตัวจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจน่ะครับ เพราะฉะนั้นในเรื่องเหล่านี้ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องซึ่งเป็นวิชาการที่ผมไปพูด ก่อนหน้าผม เป็นอาจารย์มารค ตามไทยซึ่งพูดในประเด็นเนื้อหาวิชาการที่เกี่ยวข้องกับ self determination น่ะครับ จึงไม่มีเหตุผลใดๆที่จะเป็นเรื่องที่เราไปรับรู้ถึงการกระทำหรือว่าอะไรจะไปพูดที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดนซึ่ง เพราะ self determination เป็นองค์ความรู้หนึ่งที่ผู้เรียนรู้ ผู้ที่เรียนรู้ทำหน้าที่ในเรื่องของผู้ที่ทำหน้าที่ความมั่นคงก็ต้องเรียนสิ่งเหล่านี้และผู้ที่ใฝ่หาสันติวิธีก็ต้องเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้เช่นกันครับ

**ตอบคำถามผู้สื่อข่าวครับ **

ผู้สื่อข่าวถาม : ดูแล้ว มีความเสี่ยงที่จะถูกยุบพรรคพร้อมจะชี้แจงด้วยข้อกฎหมายใด

โฆษกตอบ : คือตอนนี้ทางพรรคทราบเพียงตามข่าวที่คุณ ณฐพร ได้ยื่นเมื่อวานน่ะครับ ในส่วนโดยสรุปพฤติการณ์ในการที่อ้างเหตุว่าเรามีเจตนาล้มล้างการปกครองโดยสรุปแค่นั้นเอง ส่วนในรายละเอียดน่ะครับ ที่เขาอ้างในคำฟ้องซึ่งผมทราบว่ามี 30 กว่าหน้า มีพฤติการณ์อะไรบ้าง ตรงนั้นเราพร้อมที่จะชี้แจง แล้วก็มั่นใจว่าการดำเนินการของพรรคเรากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เราไม่ได้ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ พร้อมที่จะชี้แจงครับ

ผู้สื่อข่าวถาม :  ในเหตุการณ์ มีตัวแทนของพรรคการเมืองหลายพรรคด้วยก็จะเป็นบรรทัดฐานเดียวกันกับพรรคอื่นไหมครับว่าเป็นแค่การไปร่วมเสวนา

โฆษกตอบ : เท่าที่ผมทราบว่าวันนั้น ก็มีตัวแทนของพรรคเป็นธรรม แล้วก็ส่วนก้าวไกลก็ได้รับเชิญ แต่ไม่ได้ไป แล้วก็มีตัวเเทนของพรรคประชาชาติเราที่ไปด้วย โดยสรุปที่ไปวันนั้นก็คือมี 2 พรรค ครับ ส่วนการอ้างเหตุของแต่ละพรรคที่จะยุบพรรคด้วยเหตุการณ์ของวันนั้นของฝ่ายคุณ ณฐพร อ้างเหตุพฤติการณ์อะไร ขอดูคำฟ้องที่เขาฟ้อง ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับ เขาส่งมาให้พรรคชี้แจง เราพร้อมชี้แจงครับ

ผู้สื่อข่าวถาม : มีความกังวลไหมครับ

โฆษกตอบ : ไม่ได้กังวลครับ เรามั่นใจในการทำงานของพรรคเรามาโดยตลอดระยะเวลา 4-5 ปี เพราะว่า ผมมองว่าประเด็นเหล่านี้เราไม่ทราบว่าโดยเจตนาที่แท้จริงของคนที่ร้องมีเจตนาอย่างไร แต่ว่า ที่จะกล่าวหาใครว่าต้องการล้มล้างการปกครองเนี่ย ผมว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงเจตนาพิเศษอย่างแท้จริงน่ะครับ เรายืนยันมาโดยตลอดครับว่า พรรคเราไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคคนเดิม วันมูหะมัดนอร์ มะทา ก็อยู่ในวงการการเมืองมานาน 40 กว่าปี ก็อยู่ในระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด แล้วก็ 4 ปีที่เราทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เราก็อยู่เคียงข้างประชาชน ไม่ได้มีส่อเจตนาอื่นเลยนะครับ ว่าเราจะมีการล้มล้างการปกครองขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ครับ

ผู้สื่อข่าวถาม : มองเป็นเรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมืองไหมครับ

โฆษกตอบ : ผมไม่สามารถที่คาดเดาได้ว่าเจตนาที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่ว่า ถ้าดูพฤติการณ์ปกติที่เราดำเนินการวันที่ 7 มิถุนายน ในช่วงบ่าย เราถือว่าเราดำเนินการเป็นปกติในฐานะพรรคการเมืองครับ ขอบคุณมากครับ

“เศรษฐา” จ่อมอบ “ทวี” รับภารกิจดับไฟใต้ ปรับทิศทาง ศอ.บต.

@4 ก.ย. 2566 19:11

หากนับเฉพาะสายงานความมั่นคง ไม่เพียงแค่ “รัฐมนตรีกลาโหม” ที่ถูกตั้งคำถามว่า “ผิดฝาผิดตัว” หรือไม่ แต่ “รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง” จะเป็นใคร ดูจะคาดเดายาก ทั้งๆ ที่รองนายกฯคนนี้จะรับผิดชอบภารกิจแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยืดเยื้อมาร่วม 2 ทศวรรษด้วย และต้นปีหน้าจะเป็นวาระครบรอบ 20 ปีไฟใต้ แต่สถานการณ์ความรุนแรงก็ยังไม่คลี่คลาย แถมโหมกระหน่ำหนักในบางช่วงเวลาเสียด้วยซ้ำ ดังเช่นเหตุโจมตีชุดลาดตระเวนร่วม “ตำรวจ-อส.” ที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เมื่อกลางดึกของวันที่ 28 ส.ค.66 ทำให้กำลังพลพลีชีพถึง 4 นาย บาดเจ็บอีกนับสิบ

มีรายงานว่า นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ให้ความสนใจงานดับไฟใต้ไม่น้อย และได้หารือนอกรอบกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ ซึ่งพรรคการเมืองนี้ครองความนิยมสูงสุดในดินแดนปลายด้ามขวาน ได้ สส.มาถึง 7 คนจาก 13 คน เรียกว่าเกินครึ่ง และคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ยังเป็นอันดับ 1 ทุกเขต ทำให้ได้ สส.แบบบัญชีรายชื่อมาเติมอีก 2 คน

แหล่งข่าวในรัฐบาลยืนยันว่า นายกฯ เศรษฐา อาจใช้อำนาจออกคำสั่งมอบหมายงานกำกับดูแลศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ให้กับ พ.ต.อ.ทวี รวมทั้งงานด้านการพัฒนาพื้นที่, งานพูดคุยเพื่อสันติสุขกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ซึ่งมีแนวโน้มจะเปลี่ยนชื่อเป็น “โต๊ะพูดคุยสันติภาพ” แต่งาน กอ.รมน. หรือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร นายกฯ เศรษฐา อาจดึงไว้กำกับดูแลเอง

มีรายงานว่า เลขาธิการ ศอ.บต.คนใหม่ จะเป็นคนจากส่วนกลางซึ่งมีประสบการณ์สูง ผ่านงานระดับอธิบดีมาหลายกรม โดยตำแหน่งเลขาธิการ ศอ.บต. อยู่ในระดับ 11 หรือ “ซี 11” เท่ากับปลัดกระทรวง

เล็งปรับภารกิจ ศอ.บต. - ฟื้นสภาที่ปรึกษาฯ

พ.ต.อ.ทวี เปิดเผยเรื่องนี้ ว่า แผนงานในรายละเอียดต่างๆ คงต้องรอสัญญาณจากนายกฯเศรษฐา แต่หากได้รับผิดชอบกำกับดูแล ศอ.บต. ตนจะปรับภารกิจให้เน้นงานด้านพัฒนาเป็นหลัก แต่ต้องไม่ทำเอง ไม่เป็นหน่วย operation แต่จะเน้นควบคุม กำกับ ดูแล และประสานงานแบบบูรณาการ โดยงานที่จะทิ้งไปไม่ได้คือ “ความยุติธรรม” เพราะเป็นจุดเด่นที่สุดของหน่วยงาน ศอ.บต.

นอกจากนี้ จะมีการรื้อฟื้น “สภาที่ปรึกษา ศอ.บต.” ขึ้นมา เพราะพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 หรือ พ.ร.บ.ศอ.บต. เขียนไว้ดีมาก โดยสภาที่ปรึกษาฯ มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้นำศาสนา ตัวแทนคนพุทธ คนมุสลิม รวมไปถึงภาคประชาชน เอ็นจีโอ และนักสิทธิมนุษยชน แต่ที่ผ่านมา คสช.ไปออกคำสั่งปลดสมาชิกสภาที่ปรึกษาชุดเดิม แล้วไปคัดเลือกใหม่ เปลี่ยนโครงสร้างใหม่ โดยให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เข้ามามีบทบาท ทำให้ไม่เป็นตัวแทนจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง

ศอ.บต.โดนร้องอื้อ ต้นเหตุแนวคิด “ปรับภารกิจ”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ผ่านมา ศอ.บต.ทำงานด้านการพัฒนา โดยใช้วิธีลงมือทำเอง เปิดประกวดราคา และจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษด้วยตัวเอง ทำให้หลายๆ โครงการมีปัญหาถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส เพราะพื้นที่ชายแดนใต้ใช้การจัดจ้างวิธีพิเศษ ไม่ต้องประกวดราคา ตามข้อยกเว้นของกรมบัญชีกลาง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาความมั่นคง

การจัดซื้อจัดจ้างหลายๆ โครงการไม่ต้องเปิดประมูล แต่ใช้วิธีจัดจ้างวิธีพิเศษแบบเฉพาะเจาะจง แต่ผลที่ตามมากลับเป็นในด้านลบ เพราะบางโครงการถูกตรวจสอบจากหลายฝ่ายเนื่องจากเข้าข่ายทุจริต ไม่โปร่งใส หรือตัดสินใจทำโครงการโดยไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมเท่าที่ควร

โครงการที่มีปัญหาจนถูกสั่งยุติกลางคันก็เช่น ตู้กรองน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ราคาตู้ละกว่า 5 แสนบาท แพงกว่ารถยนต์อีโคคาร์ 1 คันเสียอีก, เสาไฟส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ ”เสาไฟโซลาร์เซลล์” งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท มีการตั้งคณะกรรมการจากส่วนกลางไปตรวจสอบและพบว่ามีปัญหาจริง กระทั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดข้าราชการระดับสูง หรือแม้แต่โครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลในพื้นที่ ก็มีปัญหาอย่างมาก หลายแห่งไม่มีใครเข้าไปเล่นฟุตซอล กลายเป็นสนามเลี้ยงวัว

ยังไม่นับการผลักดันโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ หรือ “เมกะโปรเจก” ที่กลายเป็นความขัดแย้งระดับพื้นที่ เช่น โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” อ.จะนะ จ.สงขลา ที่มีม็อบบุกทำเนียบรัฐบาลหลายครั้งในห้วงหลายปีที่ผ่านมา

ลุยแก้หนี้-ปฏิรูปคุก-ปราบยา-เจรจาดับไฟใต้

พ.ต.อ.ทวี ยังบอกถึงนโยบายที่จะทำในฐานะ รมว.ยุติธรรมป้ายแดง ว่า ต้องทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะระยะหลังๆ มีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น ขณะเดียวกันก็มีนโยบายแก้ “หนี้ที่ไม่เป็นธรรม” ซึ่งมีคณะกรรมการที่รับผิดชอบเรื่องนี้อยู่ในกระทรวงยุติธรรม และยังมีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่าง “กรมบังคับคดี” อยู่ในโครงสร้างของกระทรวงด้วย

สำหรับ “หนี้ที่ไม่เป็นธรรม” ซึ่งกำลังมีปัญหาอย่างมาก ก็เช่น หนี้ กยศ. หรือกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ซึ่งมีการแก้ไขกฎหมายใหม่ มีผลบังคับใช้แล้ว ให้ลดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ แต่ทาง กยศ.ก็ยังไม่ออกระเบียบมารองรับตามกฎหมายใหม่ ยังคงคิดอัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับในอัตราเดิม ทำให้ผู้กู้เดือดร้อน ทั้งๆ ที่ผู้กู้เป็นคนขยัน ใฝ่เรียน สมควรสนับสนุน ไม่ใช่ถูกบังคับให้เป็นหนี้

ในส่วนของกรมราชทัณฑ์ กรมที่ได้รับจัดสรรงบประมาณมากที่สุดของกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ทวี บอกว่า มีแผนศึกษาเรื่องแยกกลุ่มผู้ต้องขัง ไม่ให้ขังรวมกันจำนวนมาก โดยไม่แยะประเภทของนักโทษ เช่น ผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างพิจารณาคดี คือคดียังไม่เสร็จสิ้น ยังไม่ใช่ “นักโทษเด็ดขาด” กลุ่มนี้ต้องแยกขัง ไม่ควรขังรวมกับนักโทษเด็ดขาด อาจมีโครงการใช้พื้นที่เอกชนเป็นสถานที่คุมขัง ให้นอนรวมกันแค่ 3-4 คน ไม่ใช่นอนกันเป็นร้อยเหมือนในเรือนจำ และมีอาหารให้รับประทาน โดยให้กรมราชทัณฑ์เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน เพราะตามรัฐธรรมนูญแล้ว คนกลุ่มนี้ยังไม่ถือว่ามีความผิด จึงต้องไม่ปฏิบัติกับเขาเสมือนหนึ่งเป็นผู้กระทำความผิด

อีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในหน้างานของกระทรวงยุติธรรมเช่นกัน ก็คือ งานปราบปรามยาเสพติด เพราะสำนักงาน ป.ป.ส.เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงตาชั่ง พ.ต.อ.ทวี บอกว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดต้องเห็นผลถึงระดับชุมชน หมู่บ้าน ทุกอย่างต้องมีตัวชี้วัดให้ได้ เพราะที่ผ่านมาประชาชนเดือดร้อนมาก และร้องเรียนเข้ามามากว่ายาเสพติดระบาดหนักจริงๆ

นอกจากนั้นยังมีแนวคิด “ยืมตัว” นายตำรวจที่เก่งงานด้านปราบปราม มารับผิดชอบงานที่สำนักงาน ป.ป.ส. เพื่อให้งานปราบยาเสพติดประสบผลสำเร็จมากขึ้นด้วย

ส่วนงานพูดคุยสันติภาพดับไฟใต้ พ.ต.อ.ทวี ซึ่งเคยเป็นแกนนำคณะพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นเมื่อปี 2556 ในรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บอกว่า ต้องรื้อกระบวนการพูดคุยใหม่ โดยตั้งประเด็นขึ้นมาให้ชัดเลย อาจจะมี 4-5 ประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการบริหารการปกครอง แล้วดึงทุกฝ่ายมาร่วมหารือ เพื่อตกผลึกให้ได้ในแต่ละประเด็น เนื่องจากใช้วิธีพูดคุยภาพรวมเหมือนที่ผ่านมา ไม่มีความคืบหน้า และไม่มีประเด็นไหนที่เห็นผลเป็นรูปธรรมนำร่องได้เลย

หัวข้อทั้งหมด

ผู้คน - สังคม

“พิพัฒน์” เปิดโครงการพัฒนาศักยภาพนักประชาสัมพันธ์ของสำนักงานประกันสังคม

@17 ก.ค. 2567 17:03

“พิพัฒน์” เปิดโครงการพัฒนาศักยภาพนักประชาสัมพันธ์ของสำนักงานประกันสังคม พร้อมกำชับนักประชาสัมพันธ์ของสำนักงานประกันสังคม สร้างการรับรู้ ดูแลสวัสดิการผู้ประกันตนให้ทั่วถึงรวดเร็ว

วันที่ 17 กรกฎาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพนักประชาสัมพันธ์ของสำนักงานประกันสังคม โดยมี นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารสำนักงานประกันสังคม และเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์สำนักงานประกันสังคมส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ให้การต้อนรับ ณ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพมหานคร

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพนักประชาสัมพันธ์ของสำนักงานประกันสังคม โดยการจัดโครงการในครั้งนี้ เป็นการพัฒนาศักยภาพของนักประชาสัมพันธ์องค์กร ให้ขับเคลื่อนภารกิจด้านการประชาสัมพันธ์งานประกันสังคม สร้างภาพลักษณ์ที่ดี สร้างความรู้ ความเข้าใจ ความมั่นใจให้กับนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตน ผู้มีส่วนได้เสีย ประชาชนในทุกภาคส่วน และสร้างการสื่อสารที่ดีจากภายในสู่ภายนอกองค์กร ผ่านสื่อช่องทางต่าง ๆ ให้สอดรับกับนโยบายของกระทรวงแรงงานและการเปลี่ยนแปลงไปของสื่อสังคมไทย

ร่วมอนุรักษ์ทะเลและชายฝั่งในกิจกรรม “ร่วมคิดร่วมทำวางซั้งกอสร้างบ้านปลา จ.สงขลา” ครั้งที่ 5

@17 ก.ค. 2567 16:44

“เจือ ราชสีห์” ร่วมกับสมาคมส่งเสริมการตกปลาเชิงอนุรักษ์ และเครือข่ายอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งฯ จ.สงขลา จัดกิจกรรม “ร่วมคิดร่วมทำวางซั้งกอสร้างบ้านปลา จ.สงขลา” ครั้งที่ 5 ณ สวนสองทะเล อำเภอเมืองสงขลา

นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มอบน้ำดื่มสนับสนุนพร้อมร่วมกิจกรรม “ร่วมคิดร่วมทำวางซั้งกอสร้างบ้านปลา จ.สงขลา” ครั้งที่ 5 ที่สวนสองทะเล อ.เมืองสงขลา จ.สงขลา เพื่อสร้างบ้านให้ปลาหรือปะการังเทียม สร้างประโยชน์แก่ชุมชนและพี่น้องประมงพื้นบ้าน นักตกปลา และเมื่อทะเลสมบูรณ์ขึ้นจะเกิดกิจกรรมต่อเนื่องที่สามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับ จ.สงขลา ได้อย่างยั่งยืน

โดยมี นายบรรจง นะแส ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทย ดร.สายัญ ทองศรี ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง- ผู้ประสานงานเครือข่ายอนุรักษ์ฯ นายวิชัย เยาวธานี นายกสมาคมส่งเสริมการตกปลาเชิงอนุรักษ์จังหวัดสงขลา และสมาชิกนักตกปลาเข้าร่วมกิจกรรม

หัวข้อทั้งหมด

ทัศนะ - สนทนา

คาร์บอมบ์แฟลตตำรวจฉุดความเชื่อมั่น “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” สู่ก้นเหว

@11 ก.ค. 2567 03:56

ทัศนะ : ไชยยงค์ มณีพิลึก

คาร์บอมบ์แรกของปี 2567 เกิดขึ้นที่แฟลตตำรวจ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ก่อนหน้าเมื่อปี 2566 ก็เคยเกิดคาร์บอมบ์ขึ้นที่แฟลตตำรวจในพื้นที่ จ.นราธิวาสในลักษณะเดียวกันมาแล้ว โดยทั้ง 2 เหตุการณ์มี “นายตำรวจ” เสียชีวิตและบาดเจ็บ

สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้นับแต่ต้นปี 2567 น่าจับตายิ่ง มีทั้งลอบวางระเบิดและใช้อาวุธปืนโจมตีเจ้าหน้าที่และ “สายข่าว” ที่เป็นประชาชนต่อเนื่องแบบถี่ยิบ หลายคนถึงกับบอกว่าไฟใต้กำลังจะถอยหลังกลับไปสู่ความรุนแรงเข้มข้นเหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมา

กรณีคาร์บอมบ์แฟลตตำรวจที่ อ.บันนังสตา วิเคราะห์ได้ว่ามาจากหลายสาเหตุ แต่ที่เป็นชนวนสำคัญให้ “แกนนำบีอาร์เอ็น” สั่งการกองกำลังติดอาวุธในพื้นที่ลงมือคือ การเสียชีวิตของ “รอนิง ดอเลาะ” ภาคประชาสังคมที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี และการปิดล้อมจับกุม “นักกิจกรรม” ที่ถูกมองว่าเป็นปีกทางการเมืองของบีอาร์เอ็น

แน่นอนอีกสาเหตุเป็นผลพวงจากปฏิบัติการทางทหารของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” แต่ก็ถือเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น เพราะแม้ไม่มีเหตุการตายของนายรอนิง ดอเลาะ ไม่มีการไล่ปิดล้อมจับกุมนักกิจกรรม ก็เชื่อกันว่าเหตุรุนแรงจะยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะๆ

เนื่องเพราะปฏิบัติการก่อการร้ายต่อเนื่องมาในปี 2567 นี้ถือเป็น “ยุทธศาสตร์” ที่บีอาร์เอ็นวางแผนกำหนดไว้ก่อนแล้วว่า ในปี 2567 จะต้องเป็นปีที่มีการใช้ความรุนแรงในพื้นที่อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง

การเลือกลงมือที่แฟลตตำรวจเพราะเป็น “สัญลักษณ์” สำคัญของรัฐไทย โดยเฉพาะกับหน่วยงาน “บังคับใช้กฎหมาย” ที่มีผลกระทบต่อผู้คน จึงเชื่อว่าประชาชนจะไม่รู้สึกรู้สากับความสูญเสียที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามมีความเชื่อว่า ชีวิตถูกกำหนดมาแล้วจากพระเจ้า จึงเป็นความสูญเสียที่ยอมรับได้

อีกประเด็นหนึ่งบีอาร์เอ็นมุ่งทำคาร์บอมบ์แฟลตตำรวจเป็นการ “ส่งสัญญาณ” ให้มุสลิมในชายแดนใต้อย่าได้เข้าใกล้ “สถานที่ราชการ” ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองและอื่นๆ เพราะบริเวณนั้นถือเป็นสถานที่อันตรายที่อาจจะเกิดเหตุร้ายได้ทุกเวลา

นับเป็นวิธีแยบยลในการแบ่งแยกทั้ง “พื้นที่” และ “คน” ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่บีอาร์เอ็นถนัด และทำได้ผลมาตลอด

สถานที่ราชการถือว่าเปราะบางทางกายภาพ มีคนเข้า-ออกพลุกพล่าน การรักษาความปลอดภัยจึงหละหลวม และที่สำคัญหลังเกิดเหตุก็จะเข้มงวดกันไปสักระยะ จากนั้นก็ละเลยเฉยชาเหมือนเดิม ซึ่งทำให้เปิดช่วงว่างให้บีอาร์เอ็นก่อเหตุได้เสรีเหมือนกับไม่มีมาตรการป้องกันแต่อย่างใด

ที่สำคัญหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครอง ซึ่งอาจรวมหน่วยงานอื่นๆ ไม่เคยทั้งจดจำและถอดบทเรียนเพื่อป้องกันการก่อเหตุ รวมถึงไม่มีการวางมาตรการป้องกันการสูญเสียของประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับการก่อการร้ายของบีอาร์เอ็น

ตัวอย่างเช่น ปล่อยให้ใกล้สถานที่ราชการเป็นตลาดนัดให้คนมารวมตัวกันพลุกพล่าน เป็นการเปิดโอกาสให้แนวร่วมบีอาร์เอ็นเข้าไปปฏิบัติการได้สะดวก ถือเป็นการสร้างช่องโหว่ให้เกิดความสูญเสียให้แก่ประชาชนได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เห็นประชาชนถูกลูกหลงจนบาดเจ็บและล้มตายกันมาแล้วมากมาย

ทุกวันนี้ก็ยังมีจุดตรวจหรือจุดสกัดของทั้งทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครองยังตั้งอยู่ในชุมชน ใกล้ตลาด ซึ่งหากมีการก่อวินาศกรรมหรือเกิดการปะทะกัน ประชาชนก็จะกลายเป็นเหยื่ออย่างยากหลีกพ้น ที่สำคัญ สถานที่ผู้คนพลุกพล่านยังเป็นอุปสรรคต่อปฏิบัติการตอบโต้ของเจ้าหน้าที่ด้วย

ย้อนกลับมามองความล้มเหลวในการแก้ปัญหาของรัฐบาลจะพบว่า อ.บังนังสตา จ.ยะลา ถือเป็นพื้นที่ที่มีเหตุรุนแรงต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2547 อันเป็นปีที่ไฟใต้ระลอกใหม่ถูกจุดขึ้น ซึ่งผ่านมาแล้ว 20 ปี “หน่วยงานความมั่นคง” ไม่เคยประสำความสำเร็จในการทำให้อำเภอนี้ลดความรุนแรงลงไปได้เลย

ทั้งที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” รู้ดีว่า อ.บันนังสตาเป็น “พื้นที่สีแดงเข้ม” จึงยังให้คงกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 3 กับหน่วยปฏิบัติการพิเศษของ ตชด.จากภาคเหนือเอาไว้เสริมปฏิบัติการตำรวจ ทหารและพลเรือนในพื้นที่ แต่สถานการณ์นอกจากไม่เคยดีขึ้นแล้ว กลับยังมีเหตุร้ายมากกว่าอำเภออื่นๆ ของ จ.ยะลาด้วย

อ.บันนังสตา นับเป็นพื้นที่คร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาแล้วจำนวนมาก เช่น “จ่าเพียรขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.สภ.บันนังสนตา รวมถึง “หมวดแคน” กับ “หมวดตี้” นายทหารและนายตำรวจยศพันเอก และถ้าจำไม่ผิด “รองผู้ว่าฯ” คนหนึ่งของ จ.ยะลา ก็เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่ อ.บันนังสตา เป็นต้น

และพื้นที่ใกล้เคียงอย่าง อ.ธารโต จ.ยะลา ซึ่งเคยถูกบีอาร์เอ็นลดชั้นจาก “หมู่บ้านเข้มแข็ง” ในวันนี้กลับถูกจัดตั้งให้หวนคืนตำแหน่งเดิมแล้ว สังเกตจากมีการปิดล้อม ตรวจค้น และถูกวิสามัญฯ ได้บ่อยๆ แถมยังมีการปิดถนนแย่งชิงศพคนร้ายไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่นำไปชันสูตร ที่สำคัญตอนทำพิธีศพก็มีมวลชนแห่เข้าร่วมมากมาย

อีกทั้งยังพบข้อมูลว่าคาร์บอมบ์ลูกแรกปี 2567 ที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้น รถยนต์ราชการที่ใช้ก่อเหตุถูกโจรกรรมมาจาก อบต.ใน อ.ธารโต และมีบุคลากรของ อบต.หลายคนได้ตกเป็นผู้ต้องหาและมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย อีกทั้งหลังเกิดเหตุไม่กี่วันยังมีการนำระเบิดไปวางที่ร้านค้าใกล้สี่แยกนาเกตุใน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี แต่ยังโชคดีที่กู้ได้ทัน

คำถามคือเกิดอะไรขึ้นกับ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่ล้มเหลวในการสกัดบีอาร์เอ็นไม่ให้ขยายงานการเมือง จนทำให้หลายพื้นที่ที่สถานการณ์เคยดีขึ้นกลับคืนเป็นหมู่บ้านเข็มแข็งของฝ่ายบีอาร์เอ็น ตัวอย่างคือ อ.บันนังสตา และ อ.ธารโต ซึ่งหวั่นว่าจะขยับไปถึงหัวเมืองเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่าง อ.เบตง จ.ยะลา

ทำไมบีอาร์เอ็นจึงกลับมาก่อวินาศกรรมในที่ที่มีประชาชนพลุกพล่าน อย่างทำคาร์บอมบ์ “แฟลตตำรวจ” ที่มี “ตลาดนัด” อยู่ใกล้ๆ หรือลอบวางระเบิดหน้าร้านค้าที่ ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ทั้งที่บีอาร์เอ็นเคยออกแถลงการณ์จะไม่ก่อเหตุในที่สาธารณะตามที่ได้ตกลงไว้กับ “เจนีวาคอลล์” องค์กรเอ็นจีโอสากล

นี่ถือเป็น “คำถาม” จากคนชายแดนใต้ที่ต้องการทราบข้อเท็จจริงจาก “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ในฐานะเจ้าภาพดับไฟใต้ ผ่านมาแล้ว 20 ปี ใช้เงินไปแล้วกว่า 400,000 ล้านบาท ทำไมทุกอย่างจึงล้มเหลว จนเวลานี้ไฟใต้ถูกมองว่ากลายเป็น “อุตสาหกรรมความมั่นคง” หรือ “การค้ากำไร” จากทุกหน่วยงาน

หรือจะเป็นอย่างที่ “คนไทยพุทธ” ในพื้นที่มักนินทากันในเสียงดังฟังชัดวงน้ำชาที่ว่า “ไฟใต้สงบ งบไม่มา”

รัฐบาลและกองทัพควรนำกระเช้าไปกราบขอบคุณผู้นำบีอาร์เอ็น?!

@14 มิ.ย. 2567 09:29

ทัศนะ : ไชยยงค์ มณีพิลึก

ระหว่าง 11-13 มิถุนายน 2567 ที่ “ทูตานุทูต” จาก 12 ประเทศมุสลิมเดินทางเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเตรียมแผนป้องกันได้ดีมาก ไม่มีเหตุร้ายให้นำไปวิพากษ์วิจารณ์ แถมยังสยบความคิดว่ามีการ “ขัดแย้งด้วยอาวุธ” อันเป็นไปตามรัฐบาลแถลงว่าไฟใต้คงจะยุติลงได้ในอีกไม่นาน
นี่ถ้าทำให้เหตุร้ายในชายแดนใต้สงบลงได้อย่างนี้ตลอดไป น่าจะเป็นข่าวดีที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษของไฟใต้ระลอกใหม่เลยทีเดียว แต่ก็เชื่อกันว่าหลังคณะทูตานุทูตประเทศมุสลิมกลับไป ความรุนแรงน่าจะหวนกลับมาเหมือนเดิม โดยเฉพาะก่อนถึง “ตรุษอีดิ้ลอัฎฮา” หรือ “วันรายอฮัจยี” วันที่ 17 มิถุนายน 2567 นี้
แต่ก็มีเหตุการณ์ที่เกิดจากฝีมือแนวร่วมบีอาร์เอ็นในชายแดนใต้ที่มักเกิดขึ้นแบบถูกที่ถูกเวลา นั่นคือ “มหกรรมแขวนป้ายผ้า” และ “พ่นสีถนน” แบบเต็มพิกัด อันเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อแสดงสัญลักษณ์กล่าวหารัฐไทยว่า ไม่มีความจริงใจต่อกระบวนการสันติภาพ ปรากฏการณ์นี้เกิดก่อนคณะทูตานุทูตเดินทางมาเพียง 2 วัน หรือคืนเชื่อมต่อระหว่างวันที่ 8-9 มิถุนายนที่ผ่านมา
ปรากฏการณ์นี้ยึดโยงไปยัง “กระบวนการพูดคุยสันติสุข” ของคณะกรรมการฝ่ายเทคนิค ที่พบปะพูดคุยกันมาแล้ว 2 ครั้งหลังเวทีพูดคุยสันติสุขคณะใหญ่ผ่านไป แต่การพูดคุยของคณะกรรมการฝ่ายเทคนิคก็ไม่มีความคืบหน้าตามกรอบข้อตกลง (JCPP) ที่กำหนดขึ้นจากทั้ง 2 ฝ่าย
บางข้อความบนป้ายผ้าที่ปรากฏตามสถานที่ต่างๆ นอกจากโจมตีเรื่องความไม่จริงใจในการพูดคุยสันติภาพแล้ว ยังมุ่งโจมตีกรณีหน่วยงานรัฐให้ “กลุ่มทุน” เข้าไปกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทำ “เหมืองแร่” และ “เหมืองหิน” ที่ปัตตานีและนราธิวาส ซึ่งมีเอ็นจีโอและประชาชนคัดค้านมาโดยตลอด
ถือเป็นความชาญฉลาดของบีอาร์เอ็น ที่ทำให้เห็นว่า ยืนเคียงข้าง “มวลชน” ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายรัฐก็จะถูกแปรให้เป็น “แนวร่วมมุมกลับ” เพื่อเสริมสร้างความเติบโตให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนไปทันที
ดังนั้นแค่ปฏิบัติการแขวนป้ายผ้าของแนวร่วมบีอาร์เอ็นจึงเป็นการทำสงครามจิตวิทยาที่ “ลงทุนน้อย” แต่กลับ “ได้ผลมากมาย” ซึ่งประเมินผลได้ดังนี้
1.ไม่ต้อง “ออกแถลงการณ์” เป็นลายลักษณ์อักษรสาธยายถึงความล้มเหลวของกระบวนการพูดคุยของคณะกรรมการฝ่ายเทคนิค เพราะอาจจะไม่ได้รับความสนใจจากสื่อเหมือนกับการแขวนป้ายผ้าที่ได้กลายเป็น “ข่าวใหญ่” อย่างเต็มพิกัดไปแล้ว
2.“สื่อตรง” ไปยังทูตานุทูตของทั้ง 12 ประเทศมุสลิมที่เพิ่งเดินทางมาเยือนชายแดนใต้ เพราะข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกแล้ว
3.ปฏิบัติการแขวนป้ายผ้าของบีอาร์เอ็นเป็นเหมือน “ปลายหอก” ที่ปักเข้า “ยอดอก” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าอย่างจังเบอร์
มีคำถามจากคนในพื้นที่ โดยเฉพาะชาวไทยพุทธและคนไทยเชื้อสายจีนคือ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง รวมถึงกองกำลังท้องถิ่นที่มีรวมๆ กันแล้วไม่น้อยกว่า 50,000 ชีวิต ทำไมไม่มีใครทราบความเคลื่อนไหวหรือระแคะระคายมาก่อนบ้าง
ทั้งที่ปฏิบัติการแขวนป้ายผ้าและพ่นสีถนนเกิดขึ้นในบริเวณตัวเมือง หรือในเขตเทศบาล รวมถึงตามทางหลวงสายหลัก ทำไมปล่อยให้เกิดเหตุได้ง่ายดายนัก อันเป็นเหมือนกับคำร่ำลือของประชาชนในพื้นที่ที่ว่า “เวลากลางวันเป็นของเจ้าหน้าที่ ส่วนกลางคืนเป็นเวลาของโจร”
อย่างไรก็ตามคงต้องเห็นใจตำรวจ ทหาร และกองกำลังท้องถิ่นอย่าง อส.และ ชรบ. เพราะอย่าว่าแต่กลางคืนที่ไม่กล้าออกจากฐานปฏิบัติการเลย แม้แต่กลางวันที่ออกจากฐานไปปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน รักษาความปลอดภัยพระและครูก็ยังถูกโจมตีทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย
แต่สำหรับเจ้าหน้าที่อย่าบอกนะว่า ปฏิบัติการแขวนป้ายผ้าและพ่นสีถนนเที่ยวล่าสุดเป็นพวก “นักรบหน้าขาว” ที่เพิ่งผ่านการบ่มเพาะเข้าสู่ขบวนการ ซึ่งเป็นผลให้เจ้าหน้าที่ไม่มีข้อมูลและยากต่อการป้องกัน เนื่องเพราะมีหลักฐานทนโท่จาก 2 ผู้ถูกจับกุมได้ที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานีว่า เคยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง
ดังนั้นปฏิบัติการของ “แนวร่วมซ้ำซาก” ที่เกิดขึ้นจึงเข้าทางทั้งฝ่ายบีอาร์เอ็นและคนในพื้นที่ที่มองเห็นว่า กำลังเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งจุดตรวจ จุดสกัดและป้อมยามต่างๆ ไม่มีความหมาย เพราะมีหรือไม่มีก็ไม่ต่างกัน แถมยังควรให้ทหารกลับเข้ากรมกอง และยกเลิก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไปเลยก็ได้ เพราะอยู่ไปก็ปกป้องอะไรไม่ได้
ซึ่งก็น่าจะจริงนะ เพราะนี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ยังจับใครเพิ่มไม่ได้ รวมทั้งยังไม่เห็นการขยายผลใดๆ ต่อเนื่องมา
เวลานี้มีคนในพื้นที่ฝากถามถึง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าว่า ถ้าในคืนวันที่ 8-9 มิถุนายนที่ผ่านมาฝ่ายบีอาร์เอ็นเปลี่ยนจากแขวนป้ายผ้าและพ่นสีถนนไปเป็นการ “แขวนระเบิด” และ “โรยตะปูเรือใบ” จะเกิดอะไรกับการเดินทางมาเยือนของคณะทูตานุทูตจากประเทศมุสลิมดังกล่าว ที่สำคัญรัฐบาลไทยเราจะเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อยากบอกกับบรรดาท่านๆ ที่มีอำนาจใน “รัฐบาล” และ “กองทัพ” ทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า ควรรีบนำเอากระเช้าไป “กราบขอบคุณ” ผู้นำบีอาร์เอ็นที่พวกเขายังไว้หน้าให้ด้วย

หัวข้อทั้งหมด

ชิลล์ฯ เที่ยว - ชิม - ชอป

เบตงพร้อมแล้ว! งานวิ่งเทรลระดับโลกครั้งที่ 2 Amazean Jungle Thailand 2024

@25 เม.ย. 2567 15:37

ประธาน กพต.แถลงความพร้อมจัดงานวิ่งเทรลสนามระดับโลก ครั้งที่ 2 Amazean Jungle Thailand 2024 @เบตง ที่ อ.เบตง จ.ยะลา 3-5 พ.ค.นี้ คาดกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 300 ล้านบาท

วานนี้ (24 เม.ย.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ (กพต.) ร่วมกับนายกิตติ เชาว์ดีเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายชนธัญ แสงพุ่ม รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และ Mrs.Sabrina De Nadai UTMB Asia Director แถลงข่าวการจัดการแข่งขันวิ่งเทรล Amazean Jungle Thailand by UTMB 2024

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การจัดการแข่งขันวิ่งเทรล Amazean Jungle Thailand by UTMB 2024 ถือว่าเป็นการจัดงานวิ่งระดับโลก เพราะได้รับการรับรองมาตรฐานจาก UTMB : Ultra Trail du Mont Blanc ที่เป็นผู้จัดงานวิ่งเทรลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยการจัดงานครั้งนี้ หน่วยงานหลักที่เป็นผู้รับผิดชอบ คือ ศอ.บต.ร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซึ่งการจัดงานครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 โดยครั้งแรกจัดเมื่อปี 2566 นับว่าประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี โดยในครั้งนั้น มีนักวิ่งเทรลเข้าร่วมโครงการ จำนวน 2,539 คน จาก 48 ประเทศทั่วโลก กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากถึง 243 ล้านบาท

สำหรับการจัดการแข่งขันวิ่งเทรล ในปี 2567 จะจัดขึ้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา โดยเปิดรับสมัครไปแล้วตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 และจัดการแข่งขันในวันที่ 3–5 พฤษภาคม 2567 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการแข่งทั้งหมด 3,480 คน จาก 48 ประเทศทั่วโลก แบ่งเป็น คนต่างชาติ 28% เช่น มาเลเซีย 15% จีน 4% ญี่ปุ่น 1% และ คนไทย 72% โดยคาดว่า จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 300 ล้านบาท ซึ่งการจัดงานวิ่งครั้งนี้ จุดปล่อยตัวคือ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อยู่กลางเมืองเบตง จะวิ่งผ่านสถานที่สำคัญ เช่น เทือกเขาสันกาลาคีรี จุดชมวิวทะเลหมอกจาเราะกางา จุดชมวิวทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต และอุโมงค์ปิยะมิตร เป็นต้น

นายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า งานแข่งขันวิ่งเทรลมี 6 ระยะแข่งขัน ได้แก่ 3.5 กม., 16 กม., 26 กม., 54 กม., 103 กม. และ 145 กม. โดยมีรางวัลการแข่งขัน ดังนี้ ระยะ 145 กม.,03 กม. และ 54 กม. อันดับที่ 1 ชายและหญิง เงินรางวัล 600 ยูโร (ประมาณ 23,000 บาท) อันดับที่ 2 ชายและหญิง เงินรางวัล 450 ยูโร (ประมาณ 18,000 บาท) อันดับที่ 3 ชายและหญิง เงินรางวัล 300 ยูโร (ประมาณ 11,500 บาท) ส่วนระยะ 26 กม. และ 16 กม. จะรับถ้วยรางวัล สำหรับอันดับที่ 1-5 ชายและหญิง โดยประโยชน์ของการจัดงานครั้งนี้ ผู้เข้าแข่งขันจะได้มีโอกาสสัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติ วิถีชีวิต วัฒนธรรม อาหาร รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดชายแดนใต้

ทั้งนี้ ต่างชาติยกให้ อ.เบตง เป็นเพชรที่ซ่อนในภาคใต้ จึงถือเป็นสิ่งที่น่ายินดีที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชื่นชมความสวยงามของเมืองเบตง พร้อมยกระดับการจัดแข่งขันให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันและผู้ติดตามมั่นใจ ประทับใจในการเดินทางมาร่วมแข่งขัน และดึงดูดให้นักวิ่งเทรลทั่วโลกกลับมาเยือนทุกๆ ปี ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวที่ดี โดยเฉพาะมิติด้านการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่สายตาชาวโลก

หน้าร้อนชาวสะเดาแห่เล่นน้ำตกวังหินสูง พาครอบครัวตั้งโต๊ะปูเสื่อทานอาหารเที่ยง

@11 มี.ค. 2567 00:08

หน้าร้อนชาวสะเดาแห่เล่นน้ำตกวังหินสูง พาครอบครัวตั้งโต๊ะปูเสื่อทานอาหารเที่ยง

ที่น้ำตกวังหินสูง ในพื้นที่หมู่ 6 บ้านควนดินเหนียว ต.ทุ่งหมอ อ.สะเดา จ.สงขลา ได้มีชาวบ้าน อ.สะเดา จ.สงขลา และอำเภอใกล้เคียงต่างพาครอบครัว และเพื่อนๆขับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หลบอากาศร้อนลงเล่นน้ำ พร้อมทั้งตั้งโต๊ะ ปูเสื่อ ตั้งวงนั่งทานอาหาร ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆกันเป็นจำนวนมาก โดยภายในน้ำตกวังหินสูงมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้านำสิ่งของมาเปิดร้านขายกันอย่างเป็นระเบียบ

ซึ่งทางเข้าน้ำตกวังหินสูงสามารถขับรถมาตามถนนสายบ้านคลองแงะ เข้าไปทางบ้านควนสะตอเกือบ 20 กม. ก็จะถึงที่หมาย ซึ่งจะมีป้ายเขียนให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งน้ำตกแห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชาวตำบลทุ่งหมอ อ.สะเดา จ.สงขลา ที่ผู้คนมักจะหลบหนีอากาศร้อนเข้าไปเล่นน้ำในวันหยุด อีกทั้งเส้นทางในการเดินทางที่สะดวกที่ทาง อบต.ทุ่งหมอ ได้ทำการปรับปรุงถนนราดยางตลอดสาย พร้อมมีที่จอดรถสะดวกสบาย และปลอดภัยในการเดินทางมาเล่นน้ำที่นี่อีกด้วย

หัวข้อทั้งหมด

วรรณกรรม - ศิลปะ - วัฒนธรรม

หนังตะลุงและมโนราห์ ลิเกป่าและเพลงบอก คือศิลปะวัฒนธรรม ที่ถือเป็นการละเล่นในท้องถิ่น

@28 มิ.ย. 2566 10:23

โดย.. ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล

หนังตะลุงและมโนราห์ ลิเกป่าและเพลงบอก คือ “ศิลปะวัฒนธรรม” ที่ถือเป็นการละเล่น ในท้องถิ่น ที่มีประวัติความเป็นมา ที่เก่าแก่และยาวนานของผู้คนในภาคใต้ ที่เคยผ่านความรุ่งเรืองและรุ่งโรจน์มาในยุคสมัยหนึ่ง ที่ถูกกล่าวขาน ถึงในศิลปะการแสดง ที่เป็นที่จดจำจนกลายเป็นตำนานที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว

เช่น “มโนราห์เติม วิน-วาด” คณะมโนราห์ชื่อดังจากเมืองตรัง หนังกั้น ทองหล่อ หนังฉิ้น ธรรมโฆษณ์ แห่ง จ.สงขลา หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล หรือ “พร้อม บุญฤทธิ์” ที่มีประวัติจาก “นายหนังตะลุง” ไปเป็น “ส.ส.” หรือผู้แทนราษฎรแห่ง จ.พัทลุง และหนังอิ่มเท่ง หนัง นครินทร์ ชาทอง หนังสกุล เสียงแก้ว ซึ่งหลายท่านเป็น “ศิลปินแห่งชาติ” ที่เป็นผู้มีชื่อเสียง และคุณูประการต่อวงการศิลปินพื้นบ้านอย่างอเนกอนันต์

วันนี้ วงการของ “ศิลปินพื้นที่บ้าน” อย่างลิเกป่าและเพลงบอก อาจจะเหลืออยู่ไม่กี่คณะทั้งภาคใต้ และอาจจะหมดไปตามกาลเวลา เพราะคนสมัยใหม่ไม่รู้จัก และไม่นิยมชมชอบการละเล่น หรือการแสดงของศิลปินพื้นถิ่นในยุคเก่า เช่นเดียวกับมโนราห์และหนังตะลุง ที่ แม้จะมีอยู่จำนวนไม่น้อยในภาคใต้ ที่ยังรับงานแสดงอยู่ แต่การแสดงก็ไม่ชุกชุมเหมือนในอดีต ที่หนังตะลุงบางคณะอย่าง “หนังน้องเดียว” ที่เคยมีขันหมากรับการแสดงข้ามปี และมี “ค่าราด” ที่กล่าวขานว่า แพงที่สุดในหมู่คณะหนังตะลุงในภาคใต้

โดยเฉพาะคณะหนังตะลุงใน “ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา” ซึ่งมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 30 คณะ ที่ส่วนหนึ่งเป็นนายหนังรุ่นใหม่ ที่เข้ามาทดแทนคณะหนังตะลุงรุ่นเก่า ที่อายุมากและล้มหายตายจากไปจากวงการศิลปินพื้นบ้าน เหลือแต่ชื่อเสียงเป็น “ตำนาน” ให้กล่าวถึงและกำลังเลือนหายไปตามกาลเวลา

วันนี้ สถานะของหนังตะลุงในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ก็ยังคงลุ่มๆ ดอนๆ แบบยึดเป็นอาชีพไม่ได้ ยกเว้นบางคณะที่มีชื่อเสียง แต่การที่จะมีผู้รับไปแสดงเดือนละ 20 คืน หรือ มากกว่านั้นอย่างในอดีตคงจะไม่หวนกลับมาอีกแล้ว เพราะเท่าที่ติดตามการแสดงของหนังตะลุง จะเห็นว่า ส่วนใหญ่เป็นงานแก้บน เป็นงานวัด งานประเพณี วัฒนธรรม หรืองานประจำปี เช่น งานสารทเดือนสิบที่ จ.นครศรีธรรมราช ส่วนงานกาชาด งานสวนสนุก เป็นงานที่หนังตะลุงได้รับการติดต่อไปแสดงน้อยต่อน้อย

จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของคณะหนังตะลุง ที่เป็นพัฒนาการ เพื่อนำเสนอการแสดงในแนวใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม ที่คนดูหนังตะลุงไม่ได้นั่งหน้าจอ เพื่อชมการแสดงคน “รุ่งแจ้งคาตา” เหมือนในอดีต แต่คนดูหนังตะลุง หลังเที่ยงคืนก็กลับบ้านแล้ว คณะหนังตะลุงจึงแสดงให้คนดูไม่เกิน 3-4 ชั่วโมง การเล่นหนังหรือแสดงหนังจึงมีการเปลี่ยนแปลงเป็นการเล่นเรื่องไปเน้นความบันเทิง “ตลกโปกฮา” และการร้องเพลงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการเดินเรื่องและขับกลอนลดน้อยลง เพราะแม้กลอนดีและเสียงหวาน แต่คนรุ่นใหม่เข้าไม่ถึงศิลปะเหล่านี้ หลายคณะที่เป็น “นายหนังรุ่นใหม่” ที่ นำเอาผู้เล่นตลกและคนดังที่เป็นดาวติ๊กต็อกไปโชว์ตัว โชว์เสียง โชว์ลีลา ให้ผู้มาชมการแสดงได้ดู จึงเป็นอีกช่องทางในการเรียกผู้ชมให้ติดตามการแสดงของคณะหนังตะลุง แม้จะผิดเพี้ยนจาก “ขนบ” ดั้งเดิมของหนังตะลุงในอดีต ตาเป็นความจำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

และอีกความเปลี่ยนแปลงคือ การแสดงที่นำเสนอผู้ชมในยูทูปและติ๊กต็อก และในช่องทางอื่นๆ ในสื่อโชเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นช่องทางของการเสพสื่อ ที่ทันสมัย สอดคล้องกับโลกในปัจจุบัน ที่ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย และเข้าถึงได้ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปดูไปชมการแสดงถึงสถานที่หน้าเวที

เป็นการแสดงบนยูทูปและติ๊กต็อก ที่เป็นคลิปสั้นๆ เน้นตลกโปกฮา สร้างอารมณ์ขันเป็นด้านหลัก แต่ก็มีผู้ติดตามที่มากพอสมควร เป็นการลงทุนไม่น้อยกว่าการแสดง ที่มีทั้งลูกคู่และอุปกรณ์การแสดง ที่ต้องใช้รถ 6 ล้อ ในการบรรทุกอุปกรณ์การแสดง ในขณะที่ค่าจ้างลดน้อยลง และที่สำคัญ บางครั้งผู้ที่มาชมการแสดงที่หน้าโรงหนัง อาจะน้อยกว่าลูกคู่และพนักงานของคณะหนังด้วยซ้ำ นี่หมายถึงนายหนัง ที่ชื่อเสียงยังไม่ดัง ซึ่งเป็นนายหนัง หรือคณะหนังรุ่นใหม่ ในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา

“ชนนพัฒน์ นาคสั้ว” ผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชารัฐ เขตเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นบุคคล ที่มองเห็นถึงความไม่แน่นอนของอาชีพการเป็นคณะหนังตะลุงในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้กล่าวว่า ตนเองมองเห็นถึงปัญหาของนายหนังตะลุงและคณะหนังตะลุง ที่ประกอบด้วยผู้คนจำนวนหนึ่ง ที่ประกอบเป็นคณะหนัง แต่ละคณะ ไม่ต่ำกว่า 10 คน ที่เมื่อคณะหนังมีการแสดงน้อยลง ก็ต้องได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดน้อยลง ต้องประกอบอาชีพอื่นๆ เป็นอาชีพหลัก เพราะการเป็นลูกคู่ของการแสดงหนังตะลุง รายได้ไม่แน่นอน ซึ่งในระยะยาว ย่อมส่งผลกระทบถึงอาชีพการเป็นลูกคู่ ที่เป็นศิลปะของการเล่นดนตรี ที่อาจจะสูญหายไปในอนาคต เช่น นายปี่ นายทับ นายโหม่ง และมือซอ เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ได้รับผลกระทบจากการที่หนังตะลุงมีผู้รับไปแสดงน้อยลง คือผู้ที่มีอาชีพในการแกะรูปหนัง ที่ใช้ในการแสดง ที่เป็นงานศิลปะในอีกแขนงหนึ่ง ที่เมื่อการแสดงของคณะหนังน้อยลง ความต้องการ “รูปหนัง” ก็จะน้อยลง ซึ่งกระทบกับรายได้และงานฝีมือที่อาจจะต้องเลิกราไปในที่สุด

“ในฐานะของ ส.ส. ที่เป็นผู้แทนในเขต 4 สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ผมมีนโยบายในการส่งเสริมการแสดงหนังตะลุง และการอนุรักษ์ศิลปะ ศิลปินพื้นบ้าน สาขาหนังตะลุง ที่มีอยู่ประมาณ 25-30 คณะ ให้สืบสานศิลปะวัฒนธรรม การเล่นหนังหรือการแสดงหนังตะลุง ให้มีรายได้ ที่ยึดเป็นอาชีพ มีงานการแสดง และมีการตั้งกองทุน หรือการได้รับการดูแล และการส่งเสริม จากหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคประชาชน”

“ขณะนี้ อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล อุปสรรค ปัญหาต่างๆ ของคณะหนังตะลุงในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง เพื่อเป็นแนวทางในการที่จะสืบสานศิลปะวัฒนธรรม การแสดงหนังตะลุง ให้เป็นอาชีพที่มั่นคง เพื่อให้ศิลปะการแสดงหนังตะลุงอยู่คู่กับประชาชนในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาสืบไป”

แน่นอน เรื่องของหนังตะลุง หรือการแสดงหนังตะลุง คือ เอกลักษณ์ของคนใต้ที่มีความสำคัญ ที่บอกถึงรากเหง้าของคนใต้ ที่เกี่ยวกับศิลปะวัฒนธรรม ที่ต้องดำรงไว้เพื่อให้อยู่คู่กับคนใต้ตลอดไป จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ ส.ส.ที่เป็นคนรุ่นใหม่ อย่าง “ชนนพัฒ์ นาคสั้ว” ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เขต 4 สงขลา มองเห็นถึงความสำคัญ และมีแนวทางในการส่งเสริมสนับสนุนการแสดงหนังตะลุง ในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาให้มั่นคงสืบไป

“พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา” นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด จ่าเพียรขาเหล็ก

@12 มี.ค. 2566 13:02

12 มี.ค.2553 พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา เสียชีวิตจากการซุ่มโจมตีด้วยการวางระเบิดรถยนต์ และยิงถล่มซ้ำด้วยอาวุธสงคราม ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่บ้านทับช้าง ต.ตลิ่งชัน ขณะนำกำลังออกปฏิบัติการกดดันแนวร่วมขบวนการ

นั่นคือปฏิบัติการสุดท้ายของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา หรือ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ที่เป็นสมญานามของ พ.ต.อ.สมเพียร ที่ได้ทำหน้าที่ ปกป้องประเทศชาติ และประชาชนด้วย “ชีวิต” ปิดฉากชีวิตของนักรบ นักสู้ แห่งเทือกเขาบูโด อันลือลั่นกว่า 40 ปี

วันนี้ในอดีต เมื่อ 13 ปีที่แล้วตรงกับวันที่ 12 มีนาคม 2553 วันถึงแก่กรรม พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา จังหวัดยะลา ได้ฉายาว่า จ่าเพียรนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด และจ่าเพียรขาเหล็ก

พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เป็นอดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา จังหวัดยะลา รับราชการตำรวจตั้งแต่เป็นพลตำรวจ จนถึงยศพันตำรวจเอก และได้รับพระราชทานยศพลตำรวจเอกเป็นกรณีพิเศษ

จากการปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเวลากว่า 40 ปี กระทั่งเคยได้รับการโปรดเกล้าฯ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง

กระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อปี 2525 จากการเสนอขอพระราชทานโดย พล.อ.เทียนชัย ศิริสัมพันธ์ เป็นตำรวจชั้นประทวนคนแรกที่ได้รับพระราชทาน

พล.ต.อ.สมเพียร เกิดวันที่ 6 พฤศจิกายน 2493 ที่ ต.วังใหญ่ อ.เทพา จ.สงขลา จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนมัธยมเทพา มัธยมศึกษาตอนปลายจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมา เข้าเรียนที่โรงเรียนตำรวจภูธร 9 จังหวัดยะลา เมื่อปี 2513 (นพต. รุ่น 15) เริ่มต้นชีวิตรับราชการตำรวจที่ สภ.อ.บันนังสตา จ.ยะลา

วันที่ 12 มีนาคม 2553 ในขณะที่ พล.ต.อ.สมเพียร นั่งรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้าไฮลักซ์ วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา พร้อมลูกน้อง 3 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย ออกไปติดตามหาข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ หลังทราบข่าวว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ออกมาเคลื่อนไหวในพื้นที่เพื่อเตรียมก่อเหตุร้ายครั้งใหญ่

เมื่อขับรถยนต์มาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ มีคนร้ายไม่ทราบกลุ่ม จำนวน 5-8 คน กดระเบิดที่ฝังไว้ และใช้อาวุธสงครามยิงเข้าใส่ จำนวนหลายชุด เกิดการปะทะกันประมาณ 10 นาที เมื่อกำลังเสริมเข้าไปกลุ่มคนร้ายได้ล่าถอยเข้าไปในป่า ทั้งหมดถูกลำเลียงทั้งทางรถยนต์ และทางเฮลิคอปเตอร์เป็นการด่วน

แรงระเบิดและคมกระสุนส่งผลให้ พล.ต.อ.สมเพียร ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตที่ รพ.ศูนย์ยะลา สิริอายุ 59 ปี และได้รับพระราชทานยศ พลตำรวจเอก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทยเป็นกรณีพิเศษ

ก่อนหน้านั้น วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ได้เดินทางเข้าพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อร้องเรียนกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับรอง ผบก.สว.ที่ผ่านมา

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นความจำนงขอพิจารณาโยกย้ายเป็น ผกก.สภ.กันตัง จ.ตรัง พื้นที่ของ บช.ภาค 9 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ว่างอยู่ในปีสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ แต่ก็ไม่ได้รับการพิจารณา ครั้งนั้นผู้กำกับกระดูกเหล็กถึงกับหลั่งน้ำตาและเปิดใจตัดพ้อไว้ว่า...

"รับราชการตำรวจมาร่วม 40 ปี และใช้ชีวิตอยู่ใน สภ.บันนังสตา มานานตั้งแต่สมัยชั้นประทวน ต่อสู้กับคนร้ายจนรอดตายมาหลายครั้ง ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็หลายหน ครั้งนี้รู้สึกเหนื่อยล้า และเป็นปีสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ จึงขอโยกย้ายออกนอกพื้นที่ไปอยู่บ้านภรรยาที่ตรัง

และผู้บังคับบัญชารับปากจะพิจารณาให้ย้ายไปที่โรงพักดังกล่าว แต่พอคำสั่งแต่งตั้งมาปรากฏว่าไม่ได้ย้าย คงอยากจะทำเรื่องขอพระราชทานยศ พล.ต.อ.ให้ตนตอนตายแล้วมากกว่า"

วันที่ 17 มีนาคม 2553 เมื่อเวลา 14.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร (พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์เพื่อเป็นองค์ประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ณ วัดคลองเปล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ยังความปลื้มปีติให้แก่ครอบครัวของ พล.ต.อ.สมเพียร เป็นล้นพ้น

ปัจจุบัน มีรูปปั้นจ่าเพียร ซึ่งมีการสร้างไว้ในวัดคลองเปล เพื่ออนุสรณ์สถานในคุณงามความดีของจ่าเพียร และบทประพันธ์สดุดีความกล้าหาญของจ่าเพียร ที่สละชีพเพื่อชาติ “วีรชนคนกล้าของแผ่นดิน” มีเนื้อความว่า

จากลูกพล สู่นายพล ด้วยผจญความร้อนหน้าว ผ่านศึกทุกครั้งคราว บากบั่นสู้ไม่ถอยหนี จากแรงกายสู่แรงใจ ทุ่มเทให้ในหน้าที่ สละเลือดเป็นชาติพลี ขอสดุดี "จ่าเพียร"

หัวข้อทั้งหมด

เราเป็นสมาชิก
  • สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย
  • สมาคมหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย