The Agenda South

The Agenda South

The Agenda Southวาระภาคใต้ เชื่อมไทย เชื่อมโลก

รมว.แรงงานประกาศจ้างงานเร่งด่วน 400 คน เคลียร์ดินโคลนพื้นที่น้ำท่วม จ.เชียงราย

@6 ต.ค. 2567 19:14

“พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.แรงงาน ประกาศจ้างงานเร่งด่วน 400 คน เคลียร์ดินโคลนในบ้าน สถานที่ทำงาน พื้นที่น้ำท่วม จ.เชียงราย โครงการแก้ไขความเดือดร้อนด้านอาชีพ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่ผมพร้อมด้วยท่านปลัดกระทรวงแรงงาน ท่านอธิบดี และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ได้ลงพื้นที่ร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัด ภาครัฐ ภาคเอกชน และจิตอาสาในพื้นที่นำถุงยังชีพของกระทรวงแรงงาน รวมทั้งจัดทีมช่างเข้าไปซ่อมบำรุง ฟื้นฟูช่วยเหลือพื้นที่น้ำท่วม จ.เชียงราย

และในส่วนของการบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพของกระทรวงแรงงาน ในปีงบประมาณ 2568  มีสำนักงานแรงงานจังหวัด5 จังหวัด เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน และสุโขทัย เสนอขอโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพเข้ามาแล้ว และ พื้นที่จังหวัดเชียงรายเบื้องต้นมีพื้นที่ที่น้ำลดลง แต่ยังคงมีดินโคลนตกค้างจำนวนมาก ในที่อยู่อาศัยและสถานที่ทำงาน  ร้านค้า กระทรวงแรงงานจึงจะดำเนินการจ้างงานเร่งด่วน จำนวน 400 คน เพื่อระดมช่วยกันลงแขกเคลียร์ดินโคลน เป็นภายในระยะเวลา 5 วัน ให้ประชาชนสามารถกลับเข้าสู่ที่พักอาศัย และ ดำเนินการประกอบอาชีพตามปกติได้

ด้านนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า โครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพนี้สามารถช่วยเหลือด้านสาธารณประโยชน์ เช่น การบูรณะอาคารปรับปรุงซ่อมแซม ทำความสะอาด สถานที่ทำงานที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ซึ่งเมื่อในแต่ละพื้นที่น้ำลดลงแล้วและอยู่ระหว่างการฟื้นฟู ก็จะสามารถนำโครงการดังกล่าวเข้าไปดำเนินการได้ทันที เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพ และรายได้ อันเนื่องมาจากภัยพิบัติ สาธารณภัย และผู้ว่างงานให้มีอาชีพ มีรายได้ เป็นการชั่วคราว  ทั้งนี้ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506

“พิพัฒน์” สั่งตั้งจุดบริการรับซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า-รถมอเตอร์ไซค์ ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม

@6 ต.ค. 2567 19:08

“พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.แรงงาน สั่งตั้งจุดบริการรับซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า และรถมอเตอร์ไซค์ ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมยาวไปตลอดเดือนตุลาคมนี้

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ตั้งจุดบริการซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน รถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์การเกษตรขนาดเล็ก ช่วยเหลือชาวเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม 5 จุดยาวตลอดเดือนตุลาคมนี้ จังหวัดอื่นๆ ส่งซ่อมได้ที่สถาบันและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานของแต่ละจังหวัดที่ประสบอุทกภัย

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่ในจังหวัดเชียงรายทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา ทั้งในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย และอำเภอแม่สาย  พบว่า สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง มีประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก บางพื้นที่ยังมีน้ำท่วมขังอยู่  จึงได้มอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งมีการจัดตั้งจุดให้บริการแต่ละพื้นที่ เพื่อให้บริการซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน รถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์การเกษตรขนาดเล็กให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบตลอดเดือนตุลาคม 2567 หากยังมีอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ยังซ่อมไม่เสร็จ จะนำกลับไปซ่อมแซมต่อที่สำนักงาน ดังนั้น หลังจากสิ้นเดือนตุลาคมแล้วประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมยังสามารถนำอุปกรณ์ต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายส่งซ่อมได้อีก นอกจากนี้ เมื่อสถานการณ์เริ่มเป็นปกติ กรมจะจัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่แรงงานในพื้นที่ เพื่อจะได้นำความรู้ไปประกอบอาชีพสร้างรายได้ต่อไป

ทางด้านของนางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของจังหวัดเชียงราย สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 20 เชียงราย ร่วมกับส่วนราชการ และภาคีเครือข่ายในจังหวัด จัดตั้งจุดบริการเพื่อให้บริการซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน รถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์การเกษตรขนาดเล็กให้แก่ประชาชน จำนวน 5 จุด ได้ แก่ จุดที่ 1 บ้านทวีรัตน์ ต.ริม อ.เมืองเชียงราย จุดที่ 2 บ้านป่าแดง ต. ริมกก อ.เมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย จุดที่ 3 บ้านเมืองงิม ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย (ผู้ประสานจุดที่ 1-3 : นายจตุพร พวงไวย์ โทร. 082-888-7240 และนายเสกสรรค์ แม่นยำ โทร. 089-856-4847) จุดที่ 4 ที่ทำการกองทุนหมู่บ้าน หมู่ที่ 8 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย (ผู้ประสาน นายสมรวม มงคลแก้ว โทร. 084-609-4083) จุดที่ 5 องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย (ผู้ประสาน นายธฤษณัฐ พะกะจ่าง โทร. 084-595-9118)

ล่าสุดมีประชาชนมาลงทะเบียนซ่อมแซมอุปกรณ์และยานพาหนะไว้ทั้งหมด 163 รายการ ประกอบด้วย เครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวน 125 รายการรถจักรยานยนต์จำนวน 19 คัน และเครื่องยนต์และเพื่อการเกษตรจำนวน 19 เครื่อง ส่งมอบแล้วจำนวน  52 รายการ และอยู่ระหว่างการซ่อมอีก 111 รายการ คาดว่าจะมีประชาชนมาลงทะเบียนเพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้ ประชาชนสามารถนำอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ามาลงทะเบียนซ่อมแซมได้ตลอดทั้งเดือนตุลาคม และหลังจากนั้นจะให้บริการ ณ สถาบันและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานในจังหวัดจนกว่าจะซ่อมอุปกรณ์ต่างๆให้ประชาชนจนแล้วเสร็จ

ห้วงเวลา “เปลี่ยนแปลงใหญ่” บนแผ่นดินไฟใต้?!

@3 ต.ค. 2567 17:26

ทัศนะ : ไชยยงค์ มณีพิลึก


เหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยัง “ซ้ำรอยประวัติศาสตร์” ล่าสุดปล้นปืนและวางเพลิงที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา ต.โละจูด อ.แว้ง จ.นราธิวาส โดยกองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นกว่า 10 คนบุกจับเจ้าหน้าที่เป็นตัวประกัน แล้วกวาดเอาอาวุธปืนราชการไปกว่า 10 กระบอก เป็นไปตามหลักคิด “ปืนของรัฐ คือปืนของเรา”

ก่อนล่าถอยได้วางเพลิงอาคารสำนักงานเสียหายทั้งหมด รวมทั้งวางกับดักชุดตรวจที่เกิดเหตุไว้เป็นระเบิดรวม 3 จุด ซึ่งเก็บกู้ได้ ไม่พลาดท่าเสียทีเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา นับเป็นว่าโชคดีที่ปฏิบัติการบีอาร์เอ็นครั้งนี้ไม่มุ่งร้ายต่อชีวิตเจ้าหน้าที่ มีเพียงตุ๊บตั๊บใส่บางคนที่มีข่าวเพิ่งถูกย้ายมาจากถิ่นอื่นจนเป็นชนวนให้เกิดเหตุครั้งนี้

เหตุปล้นปืนหน่วยงาน “พลเรือน” ในชายแดนใต้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ช่วงปี 2542-2545 เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ตอนนั้นบีอาร์เอ็นเริ่มก่อเหตุร้ายแรงด้วยการเผาโรงเรียนถึง 38 โรงในคืนเดียว ถือเป็นการชิมลางก่อนที่เกิด “วันเสียงปืนแตก” ตามมา ในคืนในวันที่ 4 มกราคา 2547 หรือเหตุปล้นปืนค่ายปิเหล็งอันเป็นจุดเริ่ม “ไฟใต้ระลอกใหม่”

ช่วงนั้น หน่วยงานพลเรือนถูกปล้นปืนไปกว่า 30 กระบอก ถือเป็นจุดเริ่มใช้นโยบาย “ปืนของรัฐ คือปืนของเรา” ของบีอาร์เอ็น เพียงแต่หน่วยงานความมั่นคง “ไม่เคยสำเหนียก” กับบทเรียนที่เกิดขึ้น จึงไม่ได้ใส่ใจป้องกัน เพราะเชื่อว่าหน่วยงานพลเรือนไม่ใช่เป้าหมาย จึงปล่อยให้ป้องกันตนเองกันไปเพียงลำพัง

เรื่องการปล่อยหน่วยงานรัฐฝ่ายพลเรือนให้อยู่ตามลำพัง ให้ป้องกันตัวกันเอาเองตามมีตามเกิด เรื่องนี้ถือเป็นจุด “เปราะบาง” อย่างยิ่ง เพราะหากบีอาร์เอ็นต้องการเข้าโจมตีเพื่อการสร้างสถานการณ์ หรือต้องการปล้นปืนเมื่อไหร่ ก็ทำได้ง่ายประดุจปอกกล้วยใส่ปากด้วยซ้ำ

หลังเกิดเหตุปล้นปืนแล้ววางเพลิงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา สังคมต้องติดตามดูว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะดำเนินการต่อไปอย่างไร โดยเฉพาะการวางมาตรการป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับหน่วยงานพลเรือนซ้ำอีก

ต้องไม่ลืมว่า เจ้าหน้าฝ่ายพลเรือนมีขีดความสามารถป้องกันตนเองไม่มากนัก เพราะไม่ได้ถูกฝึกมาเพื่อต่อสู้กับกองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็น ประเด็นนี้คงไม่กล้า “สอนสังฆราช” แต่เป็นเรื่องที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และโดยเฉพาะ “ว่าที่แม่ทัพภาคที่ 4” คนใหม่อย่าง พล.ต.ไพศาล หนูสังข์ ต้องคิดอ่านเอาเอง

ประเด็นต่อมา มีเสียงวิจารณ์ว่า หน่วยงานความมั่นคงจะประกาศให้บีอาร์เอ็นเป็น “องค์กรก่อการร้าย” ซึ่งส่วนใหญ่ของ “นักวิชาการ” และ “ภาคประชาสังคม” ในพื้นที่ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการยกสถานะสู่ “สากล” และเปิดช่องให้ไปจับมือ “องค์กรก่อการร้ายสากล” โดยเฉพาะที่เคลื่อนไหวอยู่ในตะวันออกกลางและฟิลิปปินส์

อีกทั้งกังวลว่าจะทำให้ “โต๊ะพูดคุยสันติสุข” ขับเคลื่อนต่อลำบาก เพราะเป็นการเสริมความได้เปรียบให้ฝ่ายบีอาร์เอ็น และที่สำคัญจะเป็นเงื่อนไขสำคัญให้ “องค์กรต่างชาติ” เข้ามาแทรกแซงปัญหาไฟใต้ของไทยเราได้สะดวกขึ้น
ในอีกแง่มุมของไฟใต้ระลอกใหม่ที่ดำเนินมา 20 ปี หน่วยงานความมั่นคงให้นิยามว่าเป็น “ปัญหาความไม่สงบ” ไม่ใช่ “การก่อการร้าย” โดยไม่ยอมรับว่าบีอาร์เอ็นเป็น “องค์การก่อการร้าย” ดังนั้นนโยบายในการแก้ปัญหาจึงเป็นอีกรูปแบบที่ไม่เป็นไปตามหลักการที่ควรจะเป็น
ตลอด 20 ปีไฟใต้ระลอกใหม่คงประจักษ์ชัดแล้วว่า นโยบายการแก้ปัญหาในกรอบนิยามความไม่สงบจึงไม่ได้ผล “ถมงบประมาณไปแล้วถึงกว่า 600,000 ล้านบาท” แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะไฟใต้มอดดับ ทว่ากลับมีพัฒนาการไปในทิศทางที่ไม่น่าพึงพอใจมากขึ้น
โดยเฉพาะประเด็น “สู่สากล” ต้องพึงระวังว่า เวทีพูดคุยสันติสุขระหว่างรัฐไทยกับบีอาร์เอ็นมี “ประเทศที่สาม” อย่างมาเลเซียทำหน้าที่ผู้อำนวยความสะดวก แถมยังมีตัวแทน “องค์กรชาติตะวันตก” เป็นผู้สังเกตการณ์ มีเอ็นจีโอต่างชาติอย่าง “เจนีวาคอลล์” ทำหน้าที่ “พี่เลี้ยง” ให้ฝ่ายบีอาร์เอ็นอยู่ทุกวันนี้

หากพิจารณาจะเห็นว่าวันนี้บีอาร์เอ็นน่าไม่จะแตกต่างกับ “องค์กรก่อการร้าย” ขาดเพียงยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ ไม่เปิดเผยตัว “แกนนำ” เพราะต้องการให้เป็น “องค์กรลับ” ทั้งที่ประกาศเป้าหมายชัดมาตลอดว่า “ปาตานีเมอร์เดก้า” หรือการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งไม่ใช่แค่ “เขตปกครองพิเศษ” หรือ “เขตปกครองตนเอง”

การชิง “ตัดหน้า” ประกาศให้บีอาร์เอ็นเป็นองค์การก่อการร้าย อาจเป็นผลดีที่ต้องการเปลี่ยนรูปแบบการแก้ปัญหา เพราะการใช้กฎหมายกับพื้นที่ที่เกิดสถานการณ์ “การก่อความไม่สงบ” กับ “การก่อการร้าย” แตกต่างกัน แต่ที่ไฟใต้ดำเนินมาต่อเนื่อง 20 ปีทำไมยังไม่เห็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” แต่อย่างใด
การประกาศให้บีอาร์เอ็นได้เป็นองค์กรก่อการร้ายที่มีความเป็นสากลมากขึ้น อาจทำให้การเจรจาระหว่าง “รัฐบาลไทย” กับ “รัฐบาลมาเลเซีย” เป็นไปในรูปแบบใหม่ เพราะเสือเหลืองไม่ใช้ให้ที่พักพิงแก่บรรดาแกนนำ “กลุ่มก่อความไม่สงบ” แต่กลายเป็นหนุน “กลุ่มก่อการร้ายสากล” ไปในทันที
เรื่องนี้ต้องติดตามกันต่อไปว่า รัฐบาล น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร จะขับเคลื่อนต่อไปอย่างไร ซึ่งคงต้องฟังเสียงหน่วยงานความมั่นคงด้วย ไม่ใช่ฟังแต่เสียงนักวิชาการและภาคประชาสังคม ซึ่งในความเป็นจริงนักวิชาการและภาคประชาสังคมมีทั้งพวก “โลกสวย” และ “อิงแอบแนบชิด” กับฝ่ายบีอาร์เอ็น
อีกประเด็นที่นักวิชาการ ภาคประชาสังคม เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน รวมถึงพวกใต้ปีกทางการเมืองบีอาร์เอ็น กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันคือ ไม่เห็นด้วยกับข่าวการเปลี่ยนตัว “หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข” จาก “พลเรือน” ที่ปัจจุบันคือ “ฉัตรชัย บางชวด” รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปเป็น “นายทหาร”

แต่โดยข้อเท็จจริงไม่ว่า “หัวหน้าคณะพูดคุย” หรือ “ประธานฝ่ายเทคนิค” มีอำนาจไม่ต่างกัน กล่าวคือ ต่างก็ไม่มีอิสระในการตัดสินใจเมื่อเจรจากับบีอาร์เอ็น ซึ่งทุกอย่างมี “ใบสั่ง” ทั้งนั้น สังเกตได้จากนายฉัตรชัยทำหน้าที่มากว่า 1 ปี แต่ไม่สามารถลงนามร่างข้อตกลง (JCPP) ตามที่คาดหวังอะไรได้

ดังนั้นหัวหน้าคณะพูดคุยไม่ว่าเป็นพลเรือน ทหารหรือตำรวจ นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ ในเมื่อการเจรจาเป็นเพียงสัญลักษณ์ของ “ความจอมปลอม” ในการสร้างสันติภาพ เพราะทั้งสองฝ่ายต่าง “รู้เช่นเห็นชาติ” หรือไม่ต่างจาก “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” หากเปรียบก็เหมือน “นอนเตียงเดียวกัน แต่ฝันคนละเรื่อง” นั่นเอง
และที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษด้วยคือ มีข่าวว่าจะย้าย “นันทพงศ์ สุวรรณรัฐ” จากรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ไปนั่งขัดตาทัพในตำแหน่ง “เลขาธิการ สมช.คนใหม่” 1 ปีก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ
ทั้งหมดทั้งปวงคือ “ความเปลี่ยนแปลง” ที่กำลังเกิดขึ้นและมีผลโดยตรงต่อสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยก็ต้องจับตากันใกล้ชิดต่อไปว่าจะสร้าง “ผลบวก” หรือ “ผลลบ” ต่อกับประชาชนในพื้นที่ และโดยเฉพาะต่อมาตรการดับไฟใต้นับเนื่องจากนี้ไป

รมว.ยุติธรรมสั่งการกรมราชทัณฑ์ เร่งฟื้นฟูช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย จ.เชียงใหม่

@28 ก.ย. 2567 21:04

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ สั่งการกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม เร่งฟื้นฟู-ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ เดินทางมาติดตามสถานการณ์อุทกภัย และให้การช่วยเหลือฟื้นฟูพื้นที่ย่านช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสั่งการให้ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม เข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยสนับสนุนการทำความสะอาดบ้านเรือนประชาชนและสถานที่สำคัญในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี เจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงยุติธรรม และผู้ต้องราชทัณฑ์เรือนจำชั่วคราวกลางเวียง ร่วมทำกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย

สำหรับในจุดแรก ได้ลงตรวจเยี่ยมเรือนจำชั่วคราวกลางเวียง มีการฝึกทักษะอาชีพผู้ต้องราชทัณฑ์ ที่จุดบริการ นวดแอนด์สปา โดยเป็นการนวดแผนไทยเพื่อสุขภาพ และมีการฝึกทำอาหารคาวหวาน โดย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ร่วมชิมอาหารและขนมครกหน้าต่าง ๆ ด้วย จากนั้น เดินทางมาที่มัสยิดอัลญาเมียะอ์ หรือ มัสยิดช้างคลาน ถนนเจริญประเทศ ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ โดยได้พูดคุยกับตัวแทนชุมชนจากทั้ง 5 ศาสนา หรือคณะกรรมการศาสนสัมพันธ์ ประกอบด้วยพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และซิกข์ รับฟังความเดือดร้อน ความต้องการ รวมถึงข้อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา โดยมีประชาชนในพื้นที่รอพบ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อบอกถึงปัญหาและความเดือดร้อนที่รอการช่วยเหลือ กว่า 300 คน

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังได้พบปะและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครและผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย บริเวณพื้นที่ย่านถนนช้างคลาน โดยได้พูดคุยกับตัวแทนชุมชน รับฟังความเดือดร้อน ความต้องการ รวมถึงข้อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา โดยมีประชาชนในพื้นที่รอพบ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อบอกถึงปัญหาและความเดือดร้อนที่รอการช่วยเหลือด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในตัวเมืองเชียงใหม่สภาวะปกติบ้างแล้ว แต่พื้นที่รอบนอกอย่างเช่นอำเภอหางดง อำเภอสารภี ตอนนี้ยังคงน่าเป็นห่วง เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำจากอำเภอเชียงใหม่ ซึ่งตอนนี้ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเนื่องจากระดับน้ำยังคงทรงตัวอยู่ โดย สถานการณ์น้ำท่วมในเชียงใหม่ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากฝนที่ตกลงมาในช่วงเช้าวานนี้ (27 กันยายน) ส่งผลให้มีน้ำท่วมขัง และดินสไลด์ในบางพื้นที่

“ทวี สอดส่อง” ประชุมติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งหน่วยบริการในระบบต้องโทษ

@28 ก.ย. 2567 20:55

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งหน่วยบริการในระบบต้องโทษ

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบนโยบายการดำเนินงานเกี่ยวกับพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ในการประชุมติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งหน่วยบริการในระบบต้องโทษ โดยมี นางจิรภา สินธุนาวา รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมด้วยผู้แทนจากกรมราชทัณฑ์ ผู้แทนจากกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ผู้เเทนจากรมคุมประพฤติ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดผู้แทนจากสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุม 10-06 ชั้น 10 อาคารกระทรวงยุติธรรม แจ้งวัฒนะ

โดยที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าการเร่งรัดการขึ้นทะเบียนสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดในระบบต้องโทษของกรมราชทัณฑ์ที่อนุมัติผ่านการจัดตั้งแล้ว จำนวน 89 แห่ง และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนที่อนุมัติผ่านการจัดตั้งแล้ว จำนวน 40 แห่ง พร้อมทั้งทราบความคืบหน้าการปรับหลักสูตรของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนและกรมราชทัณฑ์ รวมทั้งทราบความคืบหน้าการหารือแนวทางการจัดสรรงบประมาณหน่วยบริการในระบบต้องโทษ

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันหารือเพื่อพิจารณาความพร้อมของเรือนจำ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกและอบรมฯ ในการขึ้นทะเบียนสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด และการจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคมแห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ในหน่วยงานสังกัดกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และกรมราชทัณฑ์

ทั้งนี้ การจัดตั้งหน่วยบริการในระบบต้องโทษ และหลักสูตรการบำบัดเป็นการเตรียมความพร้อมผู้ต้องขังยาเสพติดในการปรับสภาพจิต สร้างแรงจูงใจในการเข้าสู่การฟื้นฟูสมรรถภาพได้อย่างมีคุณภาพ เพื่อมอบโอกาสให้ผู้ที่เข้าสู่สถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ได้รับการบำบัด ฟื้นฟู ได้รับการศึกษา พัฒนาทักษะวิชาชีพ เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้สามารถพัฒนาตนเองให้มีวุฒิภาวะและมีคุณค่าผ่านการมีส่วนร่วมช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนของกระทรวงยุติธรรม

สถานการณ์ - ปรากฎการณ์

“พิพัฒน์” หนุนแรงงานอิสระพร้อมมอบเครื่องมือทำกินเพิ่มรายได้ครัวเรือน

@18 ต.ค. 2567 14:55

“พิพัฒน์” หนุนแรงงานอิสระร่วมฝึกอบรม ตามนโยบาย “หลักประกันทางสังคมเด่น เน้นทักษะทันสมัย คนไทยมีงานทำ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เศรษฐกิจแรงงานไทยมั่นคง” พร้อมมอบเครื่องมือทำกินกว่า 20,000 คนทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มรายได้ครัวเรือน

วันที่ 18 ตุลาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดอ่างทอง มอบชุดเครื่องมือทำมาหากินให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมจำนวน 200 คน 5 หลักสูตร ต่อยอดอาชีพสร้างรายได้ที่มั่นคง ตามนโยบาย “หลักประกันทางสังคมเด่น เน้นทักษะทันสมัย คนไทยมีงานทำ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เศรษฐกิจแรงงานไทยมั่นคง” โดยมี นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง นางจิรวรรณ สุตสุนทร รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ร่วมงานดังกล่าว และเยี่ยมชมภารกิจ 5 เสือกระทรวงแรงงานจังหวัดอ่างทอง ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดอ่างทอง ชั้น 2 อ.เมืองอ่างทอง จ.อ่างทอง

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาพบปะกับพี่น้องประชาชนในจังหวัดอ่างทอง และขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมทั้ง 200 คน นอกจากได้รับความรู้ มีทักษะเพื่อนำไปประกอบอาชีพแล้ว ยังได้รับเครื่องมือทำกินอีกด้วย ดังนั้น ขอให้ทุกคนนำเครื่องมือเหล่านี้ไปใช้ในการประกอบอาชีพสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว  หรือนำเครื่องมือนั้นไปช่วยลดค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้ เช่น จักรเย็บผ้า เป็นต้น และหากต้องการให้กระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดอบรมให้ความรู้ในด้านไหนเพิ่มเติม ขอให้แจ้งไปที่หน่วยงานของกรมที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค ซึ่งในปี 2568 กรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีเป้าหมายในการพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานอิสระ ผู้รับจ้างงานทั่วไป ผู้ว่างงาน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 15,500 คน กระจายเป้าหมายลงทุกจังหวัด มุ่งหวังให้แรงงานไทยและประชาชนทั่วประเทศมีงานทำและมีรายได้อย่างมั่นคง ที่ผ่านมากรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ขับเคลื่อนงานดังกล่าวส่งผลให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมจำนวนกว่า 20,000 คน มีรายได้เพิ่มขึ้น 16,881 คน คิดเป็นร้อยละ 86 เฉลี่ยรายได้เพิ่มขึ้น 5,661 บาทต่อคนต่อเดือน

นางจิรวรรณ สุตสุนทร รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันนี้ที่จังหวัดอ่างทองเป็นตัวอย่างสาขาอาชีพที่กรมได้ดำเนินการจัดฝึกอบรมและมอบเครื่องมือในการทำกินให้ จำนวน 5 หลักสูตร รวม 200 คน ได้แก่ 1) หลักสูตรการเชื่อมประกอบผลิตภัณฑ์ 2) หลักสูตรการตัดเย็บเสื้อผ้า 3) หลักสูตรการทำขนมฟิวชั่น 4) หลักสูตรการแต่งผมสไตล์วินเทจ และ 5) หลักสูตรผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องดื่ม ฝึกอบรม 30 ชั่วโมง ซึ่งหวังว่าเครื่องมือที่มอบให้จะเป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ ลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนจัดซื้อเครื่องมือประกอบอาชีพ และหลังจากนี้กรมจะมีการติดตามผลอีกครั้ง จึงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานไทยและทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการสาธิตอาชีพของแรงงานอิสระกลุ่มสมุนไพรบ้านหงส์และกลุ่มจักสานผักตบชวา การให้คำปรึกษาโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตนตามมาตรา 33,39 และ 40 เพื่อให้คำแนะนำแก่แรงงานที่มาร่วมในงานอีกด้วย

รองประธานวุฒิสภาเป็นประธานเปิดการแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน จ.สุราษฎร์ธานี

@17 ต.ค. 2567 20:11

**จังหวัดสุราษฎร์ธานีจัดแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน ในงานประเพณีชักพระ-ทอดผ้าป่า และแข่งเรือยาวฯ ประจำปี 2567  อนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามให้คงอยู่สืบไป    **

วันที่ 17 ต.ค. 67 เวลา 09.30 น. ที่กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจน้ำ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี  พลเอก เกรียงไกร  ศรีรักษ์  รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1  เป็นประธานเปิดการแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน ประจำปี 2567  โดยจังหวัดสุราษฎร์ธานีร่วมกับเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี  องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุราษฎร์ธานี  สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ตลอดจนภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จัดขึ้นเพื่ออนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามให้คงอยู่สืบไป เป็นการส่งเสริม เผยแพร่ และพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ส่งเสริมประเพณีชักพระ–ทอดผ้าป่า และแข่งเรือยาวให้เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี  และยังเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน  ส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมของชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานีให้เป็นที่รู้จักในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศ ตลอดจนเผยแพร่วัฒนธรรมในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนอีกด้วย
การแข่งขันเรือยาวฯ ในครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 และ 18 ตุลาคม 2567 แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ  ได้แก่  เรือยาวประเภท 30-32  ฝีพาย  และประเภท 20-22 ฝีพาย นอกจากนี้ยังจัดให้มีการแข่งขันเรือ 5 ฝีพาย อีก 2 ประเภท คือ  ประเภทเรือชุมชน  และเรือแม่บ้าน อสม.  ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้ารับชมและเชียร์เป็นจำนวนมาก  สำหรับประเพณีการแข่งขันเรือยาว กำหนดจัดขึ้นในเดือน 11 ของทุกปี  เป็นประเพณีที่ได้สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจและความสามัคคีของพี่น้องประชาชน  ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดสุราษฎร์ธานีให้ควรค่าแก่การอนุรักษ์สืบต่อไป

ม.อ. อันดับ 6 ร่วมมหาวิทยาลัยชั้นนำในไทย โดย THE World University Rankings 2025

@11 ต.ค. 2567 11:19

THE World University Rankings 2025 ได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อยู่ในอันดับ 6 ร่วมมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศไทย ซึ่งในด้าน Teaching มีคะแนนอยู่ในอันดับ 5 ของประเทศ โดยในปีนี้มีอันดับอยู่ในช่วง 1201 - 1500 จากมหาวิทยาลัยทั้งหมด 2,024 แห่ง ที่ได้รับการจัดอันดับทั่วโลก

การจัดอันดับ World University Rankings ของ Times Higher Education (THE) นั้น จะพิจารณาจากตัวชี้วัดผลการดำเนินงานใน 5 ด้าน ได้แก่ Teaching 29.5%, Research Environment 29%, Research Quality 30%, Industry 4%, International Outlook 7.5%

ผลการจัดอันดับของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จากตัวชี้วัด 5 ด้าน ประกอบด้วย 1. Teaching 29.5% คะแนนเฉลี่ย 13.4 %
2. Research Environment 29% คะแนนเฉลี่ย 14.8 % 3. Research Quality 30% คะแนนเฉลี่ย 32.6 % 4. Industry 4% คะแนนเฉลี่ย 43.5 % 5. International Outlook 7.5% คะแนนเฉลี่ย 37.7 %

ที่มา : https://www.timeshighereducation.com/world-university-rankings/latest/world-ranking#!/length/25/locations/THA/sortby/rank/sortorder/asc/cols/stats

ศาลพระแม่กวนอิมสวนหมากจัดขบวนแห่พระและองค์เทพในเขตเทศบาลนครสงขลา

@9 ต.ค. 2567 16:02

ขบวนแห่พระและองค์เทพศักดิ์สิทธิ์จากศาลเจ้าต่างๆ เนื่องในงานเทศกาลถือศีลกินเจของศาลพระแม่กวนอิมสวนหมากเมืองสงขลาในปีนี้ จัดขบวนแห่แบบเรียบง่าย โดยนำพระและองค์เทพศักดิ์สิทธิ์แห่ไปตามถนนสายต่าง ๆ ภายในเขตเทศบาลนครสงขลา เพื่อให้ชาวสงขลาได้ทำการสักการะบูชาถึงหน้าบ้าน

วันที่ 9 ต.ค.67 เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ศาลพระแม่กวนอิมสวนหมาก จัดขบวนแห่พระและองค์เทพศักดิ์สิทธิ์จากศาลเจ้าต่างๆ แห่ให้ประชาชนในเขตเทศบาลนครสงขลาได้ทำการสักการะบูชา เนื่องในงานเทศกาลถือศีลกินเจของศาลพระแม่กวนอิมสวนหมากร่วมกับเทศบาลนครสงขลา จัดขึ้น เพื่อให้พี่น้องชาวจังหวัดสงขลาได้ร่วมกันสักการะบูชาพระและองค์เทพศักดิ์สิทธิ์ตลอดช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ

ในพิธีแห่พระในครั้งนี้ ได้อัญเชิญพระและองค์เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ จากศาลเจ้าต่างๆ ใส่เกี้ยวและประดิษฐานบนรถยนต์ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม เคลื่อนขบวนไปตามถนนต่างๆ ในเขตเทศบาลนครสงขลา เพื่อให้พี่น้องชาวสงขลาได้ทำการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยมีประชาชนยืนรอเพื่อชมขบวนและไหว้พระและองค์เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ตลอดเส้นทางที่ขบวนผ่าน

สำหรับในปีนี้ได้มีการจัดขบวนแห่แบบเรียบง่าย มีประชาชนมายืนชมขบวนแห่อยู่สองข้างถนนและมารอกราบไหว้พระและองค์เทพศักดิ์สิทธิ์  สำหรับงานเทศกาลถือศีลกินเจของศาลพระแม่กวนอิมสวนหมากและเทศบาลนครสงขลา ในคืนวันนี้ (9 ต.ค.67) เวลา 21.00 น. จะมีพิธีลุยไฟ บริเวณหน้าปะรำพิธีหน้าท่าเทียบเรือประมงเก่า (ตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสงขลา) ถนนวิเชียรชม และในวันที่ 10 ตุลาคม 2567 เวลา 14.00 น. จะเป็นพิธีเทกระจาดโปรดวิญญาณและเวลา 15.00 น. ทำการแจกทาน ที่ศาลพระแม่กวนอิมสวนหมาก อีกด้วย

หัวข้อทั้งหมด

เคียงข่าว - วิเคราะห์

เปิดเบื้องลึกจับ “แป้ง นาโหนด” ขยายผลคดีเรียกค่าไถ่ 3 หนุ่มอินโดนีเซียที่พัทลุง

@30 พ.ค. 2567 20:17

ตำรวจอินโดฯ ขยายผลจากการที่ตำรวจไทยบุกช่วยชาวอินโดฯ ที่ถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ที่ จ.พัทลุง พบความจริงเป็นตัวประกันแก๊งค์ค้ายาติดเงินค่าไอซ์ 2 ล้านบาท ส่งลูกน้องมาเป็นตัวประกันให้ “แป้ง นาโหนด” ขยายผลจนจับตัวได้

วันนี้ (30 พ.ค.) จากกรณีที่มีการจับกุมตัวนักโทษชายเชาวลิต ทองด้วง หรือ “แป้ง นาโหนด” ได้ที่ประเทศอินโดนีเซียนั้น มีรายงานว่า นายเชาวลิตยังคงมีพฤติกรรมค้ายาเสพติดข้ามชาติผ่านกลุ่มค้ายาเสพติดใน จ.พัทลุงและสงขลา มีลูกค้าเป็นชาวอินโดนีเซีย

ล่าสุดเมื่อต้นเดือน พ.ค. แป้ง นาโหนดได้ขายยาเสพติดให้แก็งค์ค้ายา ชาวอินโดนีเซีย ส่งยาไอซ์ล๊อตใหญ่ ให้ แต่พ่อค้าชาวอินโดนีเซียมีปัญหาเงินค่ายาไม่พอ ยังค้างอยู่ 2 ล้านบาท พ่อค้าชาวอินโดนีเซียจึงให้เพื่อนร่วมแก๊งค์ชื่อนายชาวาลาเป็นตัวประกัน โดยมีชาวไทยจาก จ.นราธิวาส 2 คน ทำหน้าที่เป็นล่าม และซัดทอดตำรวจหญิงประจำ บชภ.9 ว่าเป็นคนขับรถมารับคนทั้ง 3 ไปควบคุมตัวไว้ที่บ้านหลังหนึ่ง ใน ต.ท่าแค อ.เมือง จ.พัทลุง

แต่หลังจากที่สมุนของแป้ง นาโหนด ควบคุมตัวนาย ชาวาลา ไว้หลายวัน แก๊งค์ยาเสพติดยังจ่ายเงิน 2 ล้านบาทให้แป้งไม่ได้  นายชาวาลาต้องการให้สมุนของแป้งปล่อยตัว แต่สมุนของแป้งไม่ยอม จึงมีการจัดฉากว่าถูกจับตัวมาเรียกค่าไถ่ และถูกซ้อมทรมานพร้อมทั้งส่งคลิปให้น้องสาว ที่อยู่ในประเทศอินโดนีเซียให้โอนเงิน 2 ล้านบาทมาไถ่ตัว

น้องสาวนายชาวาลา โอนเงินมาเพียง 8 แสนบาท และได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียว่า พี่ชายถูกแก็งค์เรียกค่าไถ่ ที่ จ.พัทลุง จับกุมและซ้อมทรมาน โดยส่งโลเคชั่น สถานที่ควบคุมตัวที่ พัทลุง ให้ตำรวจด้วย ตำรวจอินโดฯ จึงประสานงานกับสถานฑูตอินโดในประเทศไทย และสถานกงสุลใหญ่อินโดฯ ใน จ.สงขลา มีการแจ้งให้ ผบช.ภ.9 พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ดำเนินการช่วยเหลือ ซึ่งตำรวจได้บุกไปช่วยออกมาจากบ้านพี่ของภรรยานายเชาวลิต เมื่อวันที่ 14 พ.ค.

หลังจากที่ตำรวจอินโดนีเซียทราบรายละเอียดถึงสาเหตุการจับตัวชาวอินโดฯ ว่า เป็นแก๊งค์ยาเสพติดข้ามชาติ จึงขยายผล จนพบว่าเกี่ยวพันกับนายเชาวลิต นักโทษที่หลบหนีคดีจากประเทศไทย และมีหมายจับอินเตอร์โพล (หมายแดง) จึงติดตามจับกุมได้ที่เกาะบาหลี ซึ่งนายเชาวลิตเดินทางจากบ้านพักที่เมืองเมดาน ไปท่องเที่ยวยังเกาะบาหลี

หลังจากการจับกุมจึงได้แจ้งให้ทางประเทศไทยให้ทราบ ส่วนจะมีการส่งตัวนายเชาวลิตมาให้ประเทศไทยเมื่อไหร่นั้น ต้องดูว่า อินโดนีเซีย จะดำเนินคดีกับแป้ง ในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองก่อนหรือไม่

เปิดโปงผลประโยชน์เว็บพนันออนไลน์ จาก “มินนี่” สู่เจ๊แหม่มและเสี่ย อ.อ่าง 'หัวเบี้ยมือเก็บส่วย' ที่โด่งดังในวงการตำรวจภาคใต้

@20 ธ.ค. 2566 16:18

โดย.. เมือง ไม้ขม

หลายวันก่อน ตำรวจ PCT จากส่วนกลาง นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ. ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการตำรวจ PCT นำกำลังจู่โจมเข้า ตรวจค้นห้องพักในคอนโดแห่งหนึ่ง พื้นที่เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “บ่อนการพนันออนไลน์” ขนาดใหญ่ในหาดใหญ่ ที่ชื่อว่า “วีนัส มาสเตอร์” (Venus Master) มีสมาชิกถึง 40,000 คน เชื่อมโยงกับเว็บไซต์การพนันออนไลน์ขนาดใหญ่ “betfixroya.com” และเครือข่ายที่เป็นของ “มินนี่” เจ้าแม่บ่อนออนไลน์ชื่อก้องประเทศ โดยในการเข้าทลายบ่อนออนไลน์ ที่เปิดอยู่ในคอนโดครั้งนี้ ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ 36 คน และหนึ่งในนั้นคือ “แหม่ม” ผู้ควบคุมดูแลวีนัส มาสเตอร์ ที่แหล่งข่าวระบุว่า มีเครือข่ายใน จ.สงขลาและใกล้เคียงถึง 700 กว่าสาขา

แหล่งข่าวยังได้เปิดโปงต่อไปว่า “วีนัส มาสเตอร์” ที่ตำรวจ PCT เข้าจับกุมแห่งนี้ ไม่ได้ส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บการพนันที่เป็นของ “นักการเมือง” ใน จ.สงขลา ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ไม่ใช่ของเสี่ย ก. เสี่ย ถ. และเสี่ย ป. แต่เป็นของ “คนมีสี” ที่เป็น “สีกากี” เป็นตำรวจรุ่น 61 ส่วนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “นายตำรวจคนดังของภาคใต้” และลูกน้องทั้ง 8 คน ที่เกี่ยวข้องกับเว็บหวยออนไลน์ของมินนี่หรือไม่ อย่างไร ก็ต้องเสาะหากันเอง

ที่สำคัญ “วีนัส มาสเตอร์” มีสาขาหรือเครือข่ายถึง 700 กว่าแห่ง กระจายอยู่ทั่วเหมือนกัแฟรนไชส์สินค้า ที่มีผู้สนใจเปิดบ่อนการพนันออนไลน์นำไปเปิดในตำบล อำเภอต่างๆ เพื่อเป็นแหล่งทำเงินในการหลอกลวงประชาชนให้เล่นการพนัน

และผู้ที่ถูกระบุว่า เป็น “หัวเบี้ย” หรือ “ผู้ที่เก็บส่วย” ให้หน่วยงานของรัฐ เพื่อมิให้ไปรบกวนแหล่งรับแทงหรือเล่นการพนันออนไลน์ ทั้งหมดคือ “เสี่ย อ.อ่าง” ที่ถูกขนามนามว่าเป็น “หัวเบี้ยอันดับหนึ่ง” ของวงการสีกากีใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นหัวเบี้ย ที่เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของนายตำรวจระดับนายพล จนถึงระดับนายพัน ในระดับกองบังคับการและ “นาย” ใน บชภ.9

มีการระบุว่า การจ่ายส่วยของเครือข่าย “วีนัส มาสเตอร์” ทั้ง 700 กว่าแห่ง ต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้เสี่ย อ อ่างแห่งละ 150,000 บาทต่อเดือน เพื่อไม่ให้ตำรวจและฝ่ายปกครองในพื้นที่เข้าไปจับกุมหรือแวะเวียนไป “รบกวน” ให้ยุ่งยาก เพราะบ่อนออนไลน์ ที่ถูกรบกวนจากเจ้าหน้าที่บ่อยๆ ลูกค้าจะไม่นิยม

วันนี้ “แหม่ม” และผู้ต้องหาทั้ง 36 คน ที่ตำรวจ PCT นำไปสอบสวนยังส่วนกลาง จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์หรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่เท่าที่ทราบ “เสี่ย อ.อ่าง” ผู้เป็นหัวเบี้ยและสาขาของ “วีนัส มาสเตอร์” ยังเปิดให้แทง โดยยังไม่ได้มีการจับกุมจากเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะตำรวจในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีบ่อนออนไลน์ตั้งอยู่ ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เหมือนกับว่า หน้าที่ในการจับกุมบ่อนการพนันออนไลน์เป็นหน้าที่ของตำรวจ PCT เพียงหน่วยเดียว หาใช่เป็นของตำรวจท้องที่และฝ่ายปกครองไม่

ประเด็นสำคัญคือ บ่อนออนไลน์ที่เปิดได้และเล่นได้ โดยไม่ถูกรบกวนจากตำรวจในพื้นที่นั้น ส่วนใหญ่หรือทั้งหมดก็ว่าได้ ต้องมีตำรวจระดับสูง ที่เป็นนายพลและนายพันเข้าไปเกี่ยวข้อง บางเครือข่ายเป็นเจ้าของร่วมกับนายทุน บางเครือข่ายเป็นผู้คุ้มครอง ในฐานะที่เป็นหุ้นลม เพื่อเรียกรับผลประโยชน์

ตัวอย่างของตำรวจ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีและหลบหนี เช่น “สารวัตรซัว” ที่ถูกอายัดทรัพย์ 7,000 ล้านบาท “ผกก.ไบร์ท” ที่ถูกดาราชื่อดังออกมาแฉว่า เป็นเจ้าของบ่อนออนไลน์ จนอื้อฉาวในวงการสีกากี และกลุ่มนายตำรวจ 8 นาย ที่เป็นคนใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่อยู่ระหว่างการถูกกล่าวหาจากตำรวจ PCT ในขณะนี้ และการจับกุมบ่อนพนันออนไลน์ “วีนัส มาสเตอร์” ใน อ.หาดใหญ่ครั้งล่าสุด ก็มีนายตำรวจระดับ พ.ต.ท. ที่เป็นนายตำรวจใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล ถูกกล่าวหา และไปมอบตัว เพื่อขอสู้คดีอยู่ด้วย

ประเด็นที่สังคมสงสัยและต้องการให้ตำรวจ PCT ดำเนินการให้สะเด็ดน้ำคือ กลุ่มผู้เป็นเจ้าของวีนัส มาสเตอร์ ที่มีข่าวว่า เป็นของตำรวจรุ่น 61 นั้นเป็นใคร และตำรวจ PCT ต้องสาวให้ถึง เพื่อเอามาเป็นผู้ต้องหา เพราะผู้ต้องหาทั้ง 36 คนที่จับได้ เป็นเพียงปลายแถว ที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานรับแทงในบ่อนเท่านั้น อีกทั้ง “แหม่ม” สาวใหญ่ ที่เป็นผู้ดูแลและถูกกวาดต้อน แม้จะเป็นคนสำคัญในวีนัส มาสเตอร์ แต่ก็ไม่ใช่ตัวการใหญ่

รวมทั้ง คนสำคัญอย่าง “เสี่ย อ.อ่าง” ผู้ที่รู้เรื่องการจ่ายส่วย ที่เก็บจาก “วีนัส มาสเตอร์” และเครือข่าย 700 กว่าแห่ง เดือนละกว่า 10 ล้านบาท ก็ยังไม่ถูกจับกุม ซึ่งหาก “เสี่ย อ.อ่าง” กลายเป็นผู้ต้องหาด้วย อย่างน้อย ถ้าตำรวจ PCT ทำให้คายความจริงออกมาได้ ก็จะได้รู้ว่า ตำรวจระดับ “นายพล” จนถึง ”นายพัน” ที่เป็นผู้บังคับหน่วยในพื้นที่มีการรับส่วยจากวีนัส มาสเตอร์ และเครือข่าย เดือนละเท่าไหร่

สุดท้าย “หาดใหญ่” และอำเภออื่นๆ ของจังหวัดสงขลา คือแหล่งการพนันออนไลน์ ที่เป็นแหล่งอบายมุขที่ใหญ่โต ไม่แพ้ จ.นครศรีธรรมราช สุราษฎรธานี ภูเก็ต และอื่นๆ เป็นที่หลอกลวงให้ผู้คนหลงใหลในอบายมุขจนหมดเนื้อหมดตัว หมออนาคต ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และเยาวชน เพื่อทำเงินให้กลุ่มตำรวจ ที่อยู่เบื้องหลัง

และนี่สำคัญ หาดใหญ่ สงขลา ไม่ได้มีแค่ “วีนัส มาสเตอร์” ที่เพิ่งถูกทลายห้าง แต่ยังมีบ่อนการพนันออนไลน์อีกมากมาย ที่เป็นดอกเห็ด ทั้งของ เสี่ย ถ. เสี่ย ก. เสี่ย ป. และอีกหลายๆ เสี่ย ซึ่งหลายคนเดินอยู่ในสภาฯ ในฐานะของผู้ทรงเกียรติรวมอยู่ด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มหึมาของสังคมไทย ที่หน่วยงานในพื้นที่ต้องช่วยกันปัดกวาด เพราะนี้คือขยะสังคม คือปัญหาสังคมของจังหวัดสงขลา เป็นเรื่องที่ “สมนึก พรหมเขียว” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญให้มากกว่าเรื่องจัดระเบียบจราจร ที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ เพราะนั่นเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ที่นายอำเภอกับเทศบาลก็จัดการได้ ทำเรื่อง “บ่อนออนไลน์” ให้สำเร็จ รับรองว่า ชาวสงขลาจะปรบมือให้ท่านสนั่นเมืองแน่นอน

โฆษกพรรคประชาชาติ ชี้แจงเหตุมีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

@7 ก.ย. 2566 10:10

สส.กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ โฆษกพรรคประชาชาติ ชี้แจงเหตุมีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวานนี้

โดยมีการชี้แจงดังนี้

เรียนพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน ผม นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ในนามโฆษกพรรคประชาชาติ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 7 ท่าน ของพรรคประชาชาติ เรามาแถลงข่าววันนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ วันที่ 5 กันยายน 2566 มีท่านณฐพร โตประยูร ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ดำเนินการยุบพรรคประชาชาติ โดยอาศัยอ้างเหตุพฤติการณ์ว่าพรรคประชาชาติมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองโดยเอาเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 จากกรณีที่ขบวนการนักศึกษาปัตตานีทำเวทีประชามติที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินท์ ปัตตานี มอ.ปัตตานี ว่า ให้มีการทำประชามติแบ่งแยกดินแดน แล้วก็อ้างว่าพรรคประชาชาติ มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเป็นที่มาว่าการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กระทำไม่ได้ แล้วอ้างเหตุทำนองลักษณะว่าพรรคประชาชาติ เรามีส่วนเกี่ยวข้องการจัดทำประชามติในครั้งนั้น

ประเด็นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2566 ภายหลังที่มีเวทีการทำประชามติตั้งแต่นั้น ก็ปรากฏข่าวตามสื่อมวลชนมาโดยตลอด และทางพรรคก็ได้ชี้แจงมาโดยตลอดเช่นกัน ในส่วนข้อเท็จจริงที่พยายามโยงให้พรรคประชาชาติต้องการที่จะยุบพรรคประชาชาติ ในขณะนั้น เราเข้าใจว่าวันนี้เรื่องเหล่านี้น่าจะเป็นที่เข้าใจว่าประชาชาติเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรม แล้วก็ชี้แจงอย่างนี้มาโดยตลอด แต่อยู่ดีๆเมื่อวานมีคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เท่าที่ติดตามข่าว คุณณฐพร เขาไปยื่นต่ออัยการก่อน ตามมาตรา 49 ตามรัฐธรรมนูญปี 60 พออัยการไม่รับพิจารณาภายใน 15 วัน จึงได้ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรค

กรณีนี้หลังเกิดเหตุ เราไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการชี้แจงต่อฝ่ายสืบสวนสอบสวนคณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้อเท็จจริงเนื่องจากว่าการจัดกิจกรรมเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 ของขบวนการนักศึกษา พรรคประชาชาติขอย้ำว่า เราไม่ได้เป็นผู้ร่วมจัดกิจกรรม พูดง่ายๆก็คือ  เราไม่ได้เป็นเจ้าภาพในการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพียงแต่ว่าการจัดกิจกรรมนักศึกษา เขาได้มีหนังสือเชิญถึงพรรคประชาชาติให้ไปร่วมเป็นวิทยากรในช่วงบ่าย ทางพรรคก็ได้มีหนังสือให้ทาง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่เขตอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี คือท่าน ดร.วรวิทย์ บารู ในฐานะที่เป็นอดีตรองอธิการ มอ.ปัตตานี แล้วก็เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขต อำเภอเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ มอ.ปัตตานี ไปร่วมเป็นวิทยากรในช่วงบ่าย ส่วนการทำประชามติในวันนั้น เป็นการทำประชามติในช่วงเช้า ช่วงบ่ายหัวข้อที่พูดบนเวทีก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดน

ด้วยพฤติการทั้งหมด เราขอยืนยันว่า เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำกิจกรรม หนังสือเชิญหลักฐานต่างๆ เราพร้อมที่จะชี้แจง ก่อนหน้านี้ที่ผมได้เรียนตั้งแต่ต้นว่า เราได้ชี้แจงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งไปทั้งหมดแล้ว พรรคประชาชาติขอยืนยันว่าตลอดระยะเวลาการจัดตั้งพรรคประชาชาติขึ้นมาตลอดระยะเวลาหลายปี เรายืนยันมาโดยตลอดว่าเราดำเนินการ ถึงแม้ว่าเราอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่ๆมีความล่อแหลมในมิติของความมั่นคง แต่การดำเนินกิจกรรมต่างๆ การทำงานในฐานะพรรคฝ่ายค้านตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เราดำเนินการกิจกรรมทางการเมืองทำงานการเมืองเพื่อพี่น้องประชาชนภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ 2560 นั้นก็คือ เราส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติย์ทรงเป็นประมุข หากคำร้องที่ทางฝ่าย คุณ ณฐพร ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญรับไว้หลังจากนี้ เราพร้อมที่จะชี้แจงว่าเราไม่ได้มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองตามที่ถูกกล่าวหา กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ โฆษกพรรคประชาชาติ กล่าว

สส.วรวิทย์ บารู ชี้แจงประเด็น

ผมมีสองสามประเด็นที่จะแจ้งให้พี่น้องสื่อมวลชนได้ทราบ ประเด็นที่หนึ่งก็คือเราได้รับเชิญจากผู้จัดให้ไปเป็นวิทยากรร่วมเสวนากับวิทยากรอีกสองสามท่านเราไปในลักษณะที่เป็นวิทยากรโดยไปในช่วงเวลาที่ใกล้ถึงเวลาของเราเกือบจะสิ้นสุดปลายแล้วน่ะครับ แล้วก็ประเด็นที่สอง หัวข้อที่ไปพูดเป็นหัวข้อ “self determination “ น่ะครับ ก็คือการ… ตนเอง น่ะครับ การ self determination ก็พูดในกรอบนี้แล้วก็ในพรรคของเราเองเนื่องว่าเป็นพรรคซึ่งแม้ว่าเราอยู่ที่นั่นเหมือนที่โฆษกเราได้พูดไป แล้วก็สมาชิกเรามีทั่วประเทศไม่ใช่เฉพาะในกลุ่มนับถือศาสนาอิสลามอย่างเดียว แล้วก็มีทางด้านฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต. อยากทราบข้อมูลรายละเอียด ผมก็เดินทางไปให้ข้อมูล ณ กกต. จังหวัดปัตตานีน่ะครับ และไม่เคยได้รับการเชิญหรือเรียกตัวจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจน่ะครับ เพราะฉะนั้นในเรื่องเหล่านี้ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องซึ่งเป็นวิชาการที่ผมไปพูด ก่อนหน้าผม เป็นอาจารย์มารค ตามไทยซึ่งพูดในประเด็นเนื้อหาวิชาการที่เกี่ยวข้องกับ self determination น่ะครับ จึงไม่มีเหตุผลใดๆที่จะเป็นเรื่องที่เราไปรับรู้ถึงการกระทำหรือว่าอะไรจะไปพูดที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดนซึ่ง เพราะ self determination เป็นองค์ความรู้หนึ่งที่ผู้เรียนรู้ ผู้ที่เรียนรู้ทำหน้าที่ในเรื่องของผู้ที่ทำหน้าที่ความมั่นคงก็ต้องเรียนสิ่งเหล่านี้และผู้ที่ใฝ่หาสันติวิธีก็ต้องเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้เช่นกันครับ

**ตอบคำถามผู้สื่อข่าวครับ **

ผู้สื่อข่าวถาม : ดูแล้ว มีความเสี่ยงที่จะถูกยุบพรรคพร้อมจะชี้แจงด้วยข้อกฎหมายใด

โฆษกตอบ : คือตอนนี้ทางพรรคทราบเพียงตามข่าวที่คุณ ณฐพร ได้ยื่นเมื่อวานน่ะครับ ในส่วนโดยสรุปพฤติการณ์ในการที่อ้างเหตุว่าเรามีเจตนาล้มล้างการปกครองโดยสรุปแค่นั้นเอง ส่วนในรายละเอียดน่ะครับ ที่เขาอ้างในคำฟ้องซึ่งผมทราบว่ามี 30 กว่าหน้า มีพฤติการณ์อะไรบ้าง ตรงนั้นเราพร้อมที่จะชี้แจง แล้วก็มั่นใจว่าการดำเนินการของพรรคเรากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เราไม่ได้ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ พร้อมที่จะชี้แจงครับ

ผู้สื่อข่าวถาม :  ในเหตุการณ์ มีตัวแทนของพรรคการเมืองหลายพรรคด้วยก็จะเป็นบรรทัดฐานเดียวกันกับพรรคอื่นไหมครับว่าเป็นแค่การไปร่วมเสวนา

โฆษกตอบ : เท่าที่ผมทราบว่าวันนั้น ก็มีตัวแทนของพรรคเป็นธรรม แล้วก็ส่วนก้าวไกลก็ได้รับเชิญ แต่ไม่ได้ไป แล้วก็มีตัวเเทนของพรรคประชาชาติเราที่ไปด้วย โดยสรุปที่ไปวันนั้นก็คือมี 2 พรรค ครับ ส่วนการอ้างเหตุของแต่ละพรรคที่จะยุบพรรคด้วยเหตุการณ์ของวันนั้นของฝ่ายคุณ ณฐพร อ้างเหตุพฤติการณ์อะไร ขอดูคำฟ้องที่เขาฟ้อง ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับ เขาส่งมาให้พรรคชี้แจง เราพร้อมชี้แจงครับ

ผู้สื่อข่าวถาม : มีความกังวลไหมครับ

โฆษกตอบ : ไม่ได้กังวลครับ เรามั่นใจในการทำงานของพรรคเรามาโดยตลอดระยะเวลา 4-5 ปี เพราะว่า ผมมองว่าประเด็นเหล่านี้เราไม่ทราบว่าโดยเจตนาที่แท้จริงของคนที่ร้องมีเจตนาอย่างไร แต่ว่า ที่จะกล่าวหาใครว่าต้องการล้มล้างการปกครองเนี่ย ผมว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงเจตนาพิเศษอย่างแท้จริงน่ะครับ เรายืนยันมาโดยตลอดครับว่า พรรคเราไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคคนเดิม วันมูหะมัดนอร์ มะทา ก็อยู่ในวงการการเมืองมานาน 40 กว่าปี ก็อยู่ในระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด แล้วก็ 4 ปีที่เราทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เราก็อยู่เคียงข้างประชาชน ไม่ได้มีส่อเจตนาอื่นเลยนะครับ ว่าเราจะมีการล้มล้างการปกครองขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ครับ

ผู้สื่อข่าวถาม : มองเป็นเรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมืองไหมครับ

โฆษกตอบ : ผมไม่สามารถที่คาดเดาได้ว่าเจตนาที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่ว่า ถ้าดูพฤติการณ์ปกติที่เราดำเนินการวันที่ 7 มิถุนายน ในช่วงบ่าย เราถือว่าเราดำเนินการเป็นปกติในฐานะพรรคการเมืองครับ ขอบคุณมากครับ

“เศรษฐา” จ่อมอบ “ทวี” รับภารกิจดับไฟใต้ ปรับทิศทาง ศอ.บต.

@4 ก.ย. 2566 19:11

หากนับเฉพาะสายงานความมั่นคง ไม่เพียงแค่ “รัฐมนตรีกลาโหม” ที่ถูกตั้งคำถามว่า “ผิดฝาผิดตัว” หรือไม่ แต่ “รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง” จะเป็นใคร ดูจะคาดเดายาก ทั้งๆ ที่รองนายกฯคนนี้จะรับผิดชอบภารกิจแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยืดเยื้อมาร่วม 2 ทศวรรษด้วย และต้นปีหน้าจะเป็นวาระครบรอบ 20 ปีไฟใต้ แต่สถานการณ์ความรุนแรงก็ยังไม่คลี่คลาย แถมโหมกระหน่ำหนักในบางช่วงเวลาเสียด้วยซ้ำ ดังเช่นเหตุโจมตีชุดลาดตระเวนร่วม “ตำรวจ-อส.” ที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เมื่อกลางดึกของวันที่ 28 ส.ค.66 ทำให้กำลังพลพลีชีพถึง 4 นาย บาดเจ็บอีกนับสิบ

มีรายงานว่า นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ให้ความสนใจงานดับไฟใต้ไม่น้อย และได้หารือนอกรอบกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ ซึ่งพรรคการเมืองนี้ครองความนิยมสูงสุดในดินแดนปลายด้ามขวาน ได้ สส.มาถึง 7 คนจาก 13 คน เรียกว่าเกินครึ่ง และคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ยังเป็นอันดับ 1 ทุกเขต ทำให้ได้ สส.แบบบัญชีรายชื่อมาเติมอีก 2 คน

แหล่งข่าวในรัฐบาลยืนยันว่า นายกฯ เศรษฐา อาจใช้อำนาจออกคำสั่งมอบหมายงานกำกับดูแลศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ให้กับ พ.ต.อ.ทวี รวมทั้งงานด้านการพัฒนาพื้นที่, งานพูดคุยเพื่อสันติสุขกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ซึ่งมีแนวโน้มจะเปลี่ยนชื่อเป็น “โต๊ะพูดคุยสันติภาพ” แต่งาน กอ.รมน. หรือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร นายกฯ เศรษฐา อาจดึงไว้กำกับดูแลเอง

มีรายงานว่า เลขาธิการ ศอ.บต.คนใหม่ จะเป็นคนจากส่วนกลางซึ่งมีประสบการณ์สูง ผ่านงานระดับอธิบดีมาหลายกรม โดยตำแหน่งเลขาธิการ ศอ.บต. อยู่ในระดับ 11 หรือ “ซี 11” เท่ากับปลัดกระทรวง

เล็งปรับภารกิจ ศอ.บต. - ฟื้นสภาที่ปรึกษาฯ

พ.ต.อ.ทวี เปิดเผยเรื่องนี้ ว่า แผนงานในรายละเอียดต่างๆ คงต้องรอสัญญาณจากนายกฯเศรษฐา แต่หากได้รับผิดชอบกำกับดูแล ศอ.บต. ตนจะปรับภารกิจให้เน้นงานด้านพัฒนาเป็นหลัก แต่ต้องไม่ทำเอง ไม่เป็นหน่วย operation แต่จะเน้นควบคุม กำกับ ดูแล และประสานงานแบบบูรณาการ โดยงานที่จะทิ้งไปไม่ได้คือ “ความยุติธรรม” เพราะเป็นจุดเด่นที่สุดของหน่วยงาน ศอ.บต.

นอกจากนี้ จะมีการรื้อฟื้น “สภาที่ปรึกษา ศอ.บต.” ขึ้นมา เพราะพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 หรือ พ.ร.บ.ศอ.บต. เขียนไว้ดีมาก โดยสภาที่ปรึกษาฯ มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้นำศาสนา ตัวแทนคนพุทธ คนมุสลิม รวมไปถึงภาคประชาชน เอ็นจีโอ และนักสิทธิมนุษยชน แต่ที่ผ่านมา คสช.ไปออกคำสั่งปลดสมาชิกสภาที่ปรึกษาชุดเดิม แล้วไปคัดเลือกใหม่ เปลี่ยนโครงสร้างใหม่ โดยให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เข้ามามีบทบาท ทำให้ไม่เป็นตัวแทนจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง

ศอ.บต.โดนร้องอื้อ ต้นเหตุแนวคิด “ปรับภารกิจ”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ผ่านมา ศอ.บต.ทำงานด้านการพัฒนา โดยใช้วิธีลงมือทำเอง เปิดประกวดราคา และจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษด้วยตัวเอง ทำให้หลายๆ โครงการมีปัญหาถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส เพราะพื้นที่ชายแดนใต้ใช้การจัดจ้างวิธีพิเศษ ไม่ต้องประกวดราคา ตามข้อยกเว้นของกรมบัญชีกลาง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาความมั่นคง

การจัดซื้อจัดจ้างหลายๆ โครงการไม่ต้องเปิดประมูล แต่ใช้วิธีจัดจ้างวิธีพิเศษแบบเฉพาะเจาะจง แต่ผลที่ตามมากลับเป็นในด้านลบ เพราะบางโครงการถูกตรวจสอบจากหลายฝ่ายเนื่องจากเข้าข่ายทุจริต ไม่โปร่งใส หรือตัดสินใจทำโครงการโดยไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมเท่าที่ควร

โครงการที่มีปัญหาจนถูกสั่งยุติกลางคันก็เช่น ตู้กรองน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ราคาตู้ละกว่า 5 แสนบาท แพงกว่ารถยนต์อีโคคาร์ 1 คันเสียอีก, เสาไฟส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ ”เสาไฟโซลาร์เซลล์” งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท มีการตั้งคณะกรรมการจากส่วนกลางไปตรวจสอบและพบว่ามีปัญหาจริง กระทั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดข้าราชการระดับสูง หรือแม้แต่โครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลในพื้นที่ ก็มีปัญหาอย่างมาก หลายแห่งไม่มีใครเข้าไปเล่นฟุตซอล กลายเป็นสนามเลี้ยงวัว

ยังไม่นับการผลักดันโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ หรือ “เมกะโปรเจก” ที่กลายเป็นความขัดแย้งระดับพื้นที่ เช่น โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” อ.จะนะ จ.สงขลา ที่มีม็อบบุกทำเนียบรัฐบาลหลายครั้งในห้วงหลายปีที่ผ่านมา

ลุยแก้หนี้-ปฏิรูปคุก-ปราบยา-เจรจาดับไฟใต้

พ.ต.อ.ทวี ยังบอกถึงนโยบายที่จะทำในฐานะ รมว.ยุติธรรมป้ายแดง ว่า ต้องทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะระยะหลังๆ มีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น ขณะเดียวกันก็มีนโยบายแก้ “หนี้ที่ไม่เป็นธรรม” ซึ่งมีคณะกรรมการที่รับผิดชอบเรื่องนี้อยู่ในกระทรวงยุติธรรม และยังมีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่าง “กรมบังคับคดี” อยู่ในโครงสร้างของกระทรวงด้วย

สำหรับ “หนี้ที่ไม่เป็นธรรม” ซึ่งกำลังมีปัญหาอย่างมาก ก็เช่น หนี้ กยศ. หรือกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ซึ่งมีการแก้ไขกฎหมายใหม่ มีผลบังคับใช้แล้ว ให้ลดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ แต่ทาง กยศ.ก็ยังไม่ออกระเบียบมารองรับตามกฎหมายใหม่ ยังคงคิดอัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับในอัตราเดิม ทำให้ผู้กู้เดือดร้อน ทั้งๆ ที่ผู้กู้เป็นคนขยัน ใฝ่เรียน สมควรสนับสนุน ไม่ใช่ถูกบังคับให้เป็นหนี้

ในส่วนของกรมราชทัณฑ์ กรมที่ได้รับจัดสรรงบประมาณมากที่สุดของกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ทวี บอกว่า มีแผนศึกษาเรื่องแยกกลุ่มผู้ต้องขัง ไม่ให้ขังรวมกันจำนวนมาก โดยไม่แยะประเภทของนักโทษ เช่น ผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างพิจารณาคดี คือคดียังไม่เสร็จสิ้น ยังไม่ใช่ “นักโทษเด็ดขาด” กลุ่มนี้ต้องแยกขัง ไม่ควรขังรวมกับนักโทษเด็ดขาด อาจมีโครงการใช้พื้นที่เอกชนเป็นสถานที่คุมขัง ให้นอนรวมกันแค่ 3-4 คน ไม่ใช่นอนกันเป็นร้อยเหมือนในเรือนจำ และมีอาหารให้รับประทาน โดยให้กรมราชทัณฑ์เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน เพราะตามรัฐธรรมนูญแล้ว คนกลุ่มนี้ยังไม่ถือว่ามีความผิด จึงต้องไม่ปฏิบัติกับเขาเสมือนหนึ่งเป็นผู้กระทำความผิด

อีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในหน้างานของกระทรวงยุติธรรมเช่นกัน ก็คือ งานปราบปรามยาเสพติด เพราะสำนักงาน ป.ป.ส.เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงตาชั่ง พ.ต.อ.ทวี บอกว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดต้องเห็นผลถึงระดับชุมชน หมู่บ้าน ทุกอย่างต้องมีตัวชี้วัดให้ได้ เพราะที่ผ่านมาประชาชนเดือดร้อนมาก และร้องเรียนเข้ามามากว่ายาเสพติดระบาดหนักจริงๆ

นอกจากนั้นยังมีแนวคิด “ยืมตัว” นายตำรวจที่เก่งงานด้านปราบปราม มารับผิดชอบงานที่สำนักงาน ป.ป.ส. เพื่อให้งานปราบยาเสพติดประสบผลสำเร็จมากขึ้นด้วย

ส่วนงานพูดคุยสันติภาพดับไฟใต้ พ.ต.อ.ทวี ซึ่งเคยเป็นแกนนำคณะพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นเมื่อปี 2556 ในรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บอกว่า ต้องรื้อกระบวนการพูดคุยใหม่ โดยตั้งประเด็นขึ้นมาให้ชัดเลย อาจจะมี 4-5 ประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการบริหารการปกครอง แล้วดึงทุกฝ่ายมาร่วมหารือ เพื่อตกผลึกให้ได้ในแต่ละประเด็น เนื่องจากใช้วิธีพูดคุยภาพรวมเหมือนที่ผ่านมา ไม่มีความคืบหน้า และไม่มีประเด็นไหนที่เห็นผลเป็นรูปธรรมนำร่องได้เลย

หัวข้อทั้งหมด

ผู้คน - สังคม

“สว.พิบูลย์ อัฑฒ์” ร่วมเปิดงานเทศกาลถือศีลกินเจบ้านด่านนอก สะเดา

@6 ต.ค. 2567 19:20

4 ตุลาคม 2567 ณ ศาลเจ้าพระโพธิสัตว์กวนอิมด่านนอก เทศบาลตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา “สส.น้ำหอม” นางสาวสุภาพร กำเนิดผล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดงานเทศกาลถือศีลกินเจ " Dannok Vegetarian Food Festival "

ซึ่งเทศบาลตำบลสำนักขาม ร่วมกับศาลเจ้าพระโพธิสัตว์กวนอิมด่านนอก และผู้ประกอบการในพื้นที่ ร่วมกันจัดกิจกรรมถือศีลกินเจ ระหว่างวันที่ี 3-11 ตุลาคม 2567 ณ ศาลเจ้าพระโพธิสัตว์กวนอิมด่านนอก โดยมีพิธีเปิดงานในวันนี้ด้วยขบวนรณรงค์กิน การแสดงยิ่งใหญ่เชิดสิงโต โชว์มังกร จากนครสวรรค์ และพิธีเปิด "เทศกาลถือศีลกินเจ ร่างกายแข็งแรง อารมณ์แจ่มใส จิตใจเบิกบาน"

กล่าวรายงาน โดยนายสาธิต  ลิ่ววัฒนะโชตินันท์  นายกเทศมนตรีตำบลสำนักขาม กล่าวเปิดงาน  โดย นายวิเชษต์  สายกี้เส้ง  นายอำเภอสะเดา  กล่าวสนับสนุน โดย นายพิบูลย์อัฑฒ์ หฤหรรษ์ปราการ สมาชิกวุฒิสภา และนางสาวสุภาพร  กำเนิดผล สมาชิกผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา เขต 6 พรรคประชาธิปัตย์

ทั้งนี้ มีคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล พนักงานเทศบาล หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้ประกอบการร้านค้า และประชาชนมาร่วมงานจำนวนมาก ถือเป็นการบูรณาการร่วมกันสืบสานประเพณี ส่งเสริมสุขภาพกาย  สุขภาพจิต กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเมืองด่านนอก และอำเภอสะเดาได้เป็นอย่างดี

ประธานวุฒิสภา ร่วมกับ สมาพันธ์ออฟโรดฯ ลงพื้นที่น่านช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม

@9 ก.ย. 2567 18:34

ประธานวุฒิสภา พร้อมด้วยสมาชิกวุฒิสภา ร่วมกับสมาพันธ์ออฟโรดแห่งประเทศไทย ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม จังหวัดน่าน รวมมูลค่าประมาณกว่า 400,000 บาท

วันที่ 8 กันยายน 2567 นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา พร้อมด้วย นางสาวเกศกมล เปลี่ยนสมัย นายมังกร ศรีเจริญกูล นางวาสนา ยศสอน สมาชิกวุฒิสภา ร่วมกับสมาพันธ์ออฟโรดแห่งประเทศไทย นำสิ่งของช่วยบรรเทาความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดน่าน ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย

โดยได้ลงพื้นที่ให้กำลังใจ ร่วมกับชมรมผู้ใช้รถยนต์ออฟโรด ภายใต้กิจกรรม “ออฟโรดรวมใจ ช่วยโรงเรียนน้อง ผู้ประสบภัยน้ำท่วม“ ซึ่งได้รวมตัวกันบริจาคเงินและสิ่งของที่จำเป็น อาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียนการสอน เครื่องปริ้นเตอร์ อุปกรณ์กีฬา ถุงยังชีพ เป็นต้น เพื่อมอบให้แก่โรงเรียนที่ประสบภัยในพื้นที่อำเภอท่าวังผา อำเภอทุ่งช้าง และอำเภอปัว จังหวัดน่าน จำนวน 10 โรงเรียน รวมมูลค่าประมาณกว่า 400,000 บาท

โดย ประธานวุฒิสภา ได้กล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ เพื่อสังเกตการณ์กรณีน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่จังหวัดน่าน ซึ่งได้เห็นการทำงานของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ในการเตรียมความพร้อมทั้งก่อนเกิดและขณะเกิดสถานการณ์ รวมทั้งการแก้ไขเยียวยาฟื้นฟูสถานการณ์ภายหลังเกิดอุทกภัยได้อย่างรวดเร็ว และเพื่อไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ครู นักเรียน และพี่น้องที่ประสบอุทกภัย โดยการนำความห่วงใยของสมาชิกวุฒิสภาลงไปสู่ประชาชน ซึ่งได้ไปร่วมกับพี่น้องชาวออฟโรดจากจังหวัดต่าง ๆ บริจาคสิ่งของที่จำเป็นด้วยจิตอาสาที่ต้องการทำความดีแทนคุณแผ่นดิน แบ่งปันความสุข บรรเทาทุกข์ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

หัวข้อทั้งหมด

ทัศนะ - สนทนา

ฤๅ “คดีตากใบ” ไม่ต่างจากเอาเบนซินไปราดดับไฟใต้?!

@21 ต.ค. 2567 13:15

ทัศนะ : ไชยยงค์ มณีพิลึก

อีกไม่กี่วันจะครบ 20 ปี  “คดีตากใบ” ที่เกิดเหตุการณ์ตายหมู่ของประชาชน ซึ่งไปร่วมชุมนุมที่หน้า สภ.ตากใบ.จ.นราธิวาส ตามการปลุกระดมของบีอาร์เอ็นในขณะนั้น ที่มี “สะแปอิง บาซอ” เป็นผู้นำ ในฐานะประธานขบวนการแบ่งแยกดินแดนดังกล่าว

ดังนั้น กรณีการเสียชีวิตของประชาชนที่ไปชุมนุมปิดล้อม สภ.ตากใบ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 จึง “ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ” แต่เป็นส่วนหนึ่งของ “แผนการ” ที่ถูกวางไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้เกิดความสูญเสียภายใต้ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งบีอาร์เอ็นวางแผนไว้แล้ว

แม้แต่การให้ “ครอบครัวผู้สูญเสีย” เป็นโจทก์ยื่นฟ้องอาญาต่อ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ที่ศาลจังหวัดนราธิวาสก่อนคดีจะหมดอายุความ นั่นก็เป็นการ “วางแผน” ไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเช่นกัน เพื่อเป็น “เงื่อนไขใหม่” ของปัญหาไฟใต้

“แกนนำ” ปีกทางการเมืองบีอาร์เอ็นในพื้นที่ วิเคราะห์สถานการณ์หลังศาลออกหมายจับ “อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูง” ที่มีทั้งทหาร ตำรวจและพลเรือนไว้ว่า ผู้ตกเป็นจำเลยต้อง “หลบหนี” โดยไม่มีใครไปรายงานตัวต่อศาลจังหวัดนราธิวาสสักรายอย่างแน่นอน

เพราะ “กฎหมายเปิดช่อง” ให้ผู้ตกเป็นจำเลย “หลุดรอด” คดีได้ด้วยการหลบหนีไปจนถึง “เที่ยงคืน” ของวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 20 ปีพอดิบพอดีนับจากวันเกิดเหตุคดีตากใบคือ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ถือว่า คดีหมดอายุความ

ถ้าเราติดตามสถานการณ์ชายแดนใต้อย่างใกล้จริงจังจะพบว่า ก่อนคดีตากใบหมดอายุความ 15 วัน แกนนำปีกการเมืองและทางทหารของบีอาร์เอ็นมีการประสานงานกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จึงได้เห็นการก่อเหตุความรุนแรงต่อเนื่อง

ทั้งนี้ อาศัย “ช่องโหว่” และ “การข่าวที่ล้มเหลว” ของฝ่ายเจ้าหน้าที่ ขณะที่ “แนวร่วม” บีอาร์เอ็นกลับมีการข่าวที่แม่นยำ เพราะมี “หนอนบ่อนไส้” แฝงตัวอยู่ในแทบจะทุกหน่วยงานคอยส่งข่าวให้ “กองกำลังติดอาวุธ” ก่อวินาศกรรม หรือโจมตีแบบหวังผลและแบบฉาบฉวย

นอกจากนี้ ปีกทางการเมืองบีอาร์เอ็นยังใช้วิธีการจัดกิจกรรมทั้งในชายแดนใต้และที่กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการย้อนรำลึกอดีตคดีตากใบเพื่อ “รื้อฟื้นบาดแผล” โดยทุกกิจกรรมต่างมุ่งเน้นเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ครอบครัวของผู้สูญเสีย

รวมถึงเรียกร้องให้จำเลย “รับผิดชอบ” ด้วยการมอบตัวสู้คดีในกระบวนการยุติธรรม และจี้ต้องให้ “รัฐบาล” นำตัวจำเลยทั้งหมดมาขึ้นศาลให้ทันก่อนหมดอายุความ ซึ่งต้องยอมรับว่าการขับเคลื่อนครั้งนี้ของทุกกลุ่มไม่ได้มีเป้าหมายเรื่องของ “ความยุติธรรม” เพียงประเด็นเดียว

ทว่ายังมีสิ่ง “แอบแฝง” อยู่ด้วย เช่น บีอาร์เอ็นต้องการใช้คดีตากใบเพิ่มเป็น “เงื่อนไข” สู่การก่อความไม่สงบ พร้อมกล่าวหา “รัฐไทย” และ “รัฐบาล” รวมถึง “หน่วยงานความมั่นคง” ว่า ไม่จริงใจกับการแก้ปัญหาไฟใต้ มีแต่จะปกป้องเจ้าหน้าที่ให้รอดพ้นจากบ่วงคดีเสียเท่านั้น

เชื่อว่าหลัง 25 ตุลาคม 2567 เมื่อจำเลยทุกคนพ้นผิด เพราะคดีขาดอายุความ เราก็จะเห็นบีอาร์เอ็นใช้ “เงื่อนไขใหม่” ขับเคลื่อนงานทุกด้านทั้งมวลชน การเมืองและการทหาร โดยหยิบเอา “ความอยุติธรรม” มาอ้าง ซึ่งเชื่อว่ามีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนไว้แล้ว

สัปดาห์แล้ว “ดุลเลาะ แวมะนอ” อดีต ผบ.ฝ่ายกองกำลังบีอาร์เอ็น ในฐานะผู้นำใน “สภาซูรอ” ได้ประชุมกับระดับแกนนำและแนวร่วมบีอาร์เอ็นเพื่อเตรียมขับเคลื่อนงานด้านศาสนาและมวลชน ซึ่งถึงวันนี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ารับรู้แล้วหรือยังและมีการเตรียมรับมือไว้อย่างไร

ในส่วนของ “ฝ่ายการเมือง” ก็มีการออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัวผู้สูญเสีย ซึ่งทั้งหมดได้รับการเยียวยาไปแล้ว นี่ถือเป็นอีกการฉกฉวยประโยชน์ทางการเมือง โดยใช้เงื่อนไขของ “คดีตากใบ” ในการทำลายพรรคการเมืองคู่แข่ง

ไม่เพียงเท่านั้นยังมี “บางองค์กร” ในพื้นที่ชายแดนใต้ฉวยเอาคดีตากใบไปเล่มเกมการเมือง อาทิ จัดกิจกรรมทางการเมืองเพื่อสร้างความเข้มแข็งและความชอบธรรมให้แก่องค์กรตัวเอง ขณะเดียวกันก็พยายามพุ่งเป้าไปโจมตีหน่วยงานรัฐ

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การออกมาเคลื่อนไหวของทุกกลุ่มที่มีการหยิบยกเอาคดีตากใบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เบื้องหน้าคือการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัวผู้ที่สูญเสีย แต่เบื้องหลังล้วนมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น

เช่นเดียวกับ “สื่อมวลชน” หลายสำนักที่ให้ความสำคัญกับคดีตากใบ ซึ่งมักจะหยิบความสูญเสียของผู้ที่ร่วมไปชุมนุมมานำเสนอแบบ “ด้านเดียว” แต่ไม่พยายามให้ความความสำคัญกับประเด็นที่บีอาร์เอ็นมีการวางแผนให้เกิดการชุมนุมประท้วง รวมถึงขัดขวางการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่

ดังนั้น หากจะกล่าวว่า “สื่อหลายสำนัก” ได้กลายเป็น “เครื่องมือ” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนไปแล้วอย่างเต็มใจ ซึ่งนั่นก็อาจจะไม่ผิดไปจากความเป็นจริงก็เป็นได้

โดยเฉพาะไม่มีการนำเสนอเบื้องหลังการนำเอาคนจากทั้ง “48 ครอบครัว” มาเป็นโจทก์ในการฟ้องร้องทางอาญาต่อ “7 เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง” ว่า มีความเป็นมาอย่างไร องค์กรหรือหน่วยงานไหนวางแผนไปเกลี้ยกล่อมมา ซึ่งประเด็นเหล่านี้ล้วนแต่มีเบื้องหลัง แต่กลับไม่มีการระบุถึงทั้งสิ้น

ทำไมสื่อมวลชนจึงละเลยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า ทำไมอีกกว่า “40 ครอบครัวผู้สูญเสีย” จึงไม่ยอมมาร่วมเป็นโจทย์ยื่นฟ้องร้องคดีอาญากับอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงครั้งนี้ ประเด็นนี้อาจจะมี “ข้อตกลง” ก่อนมี “การเยียวยา” ครอบครัวผู้เสียชีวิตศพละ 7.5 ล้านบาทหรือไม่ ทำไมไม่มีการเปิดเผยให้สังคมได้รับทราบ

ร่วมถึงการที่สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ “ยุติการดำเนินคดีแนวร่วม” ที่ปลุกระดมให้ผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงบริเวณหน้า สภ.ตากใบ จำนวน 59 คน  เพื่อหวังให้เกิดความปรองดอง เรื่องนี้ก็ไม่มีสำนักข่าวไหนให้ความสนใจนำเสนอว่า นี่คือ “เงื่อนไขสำคัญคดีตากใบ” ก่อนที่จะมีการเยียวยาเกิดขึ้น

การรื้อฟื้นคดีตากใบต้องถือจึงเป็น “ชัยชนะของบีอาร์เอ็น” โดยมี “รัฐไทยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้” และนับแต่นี้ไปคดีตากใบจะเป็น “เงื่อนไขใหม่” ที่ถูกนำไป “เติมเชื้อไฟแค้น” ให้แก่พี่น้องมุสลิมทั้งในพื้นที่และทั่วโลก เพื่อที่บีอาร์เอ็นจะได้นำไปใช้อ้างเพื่อตอบโต้ “อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม”

ก็ต้องติดตามดูกันว่าหลังวันที่ 25 ตุลาคม 2567 “รัฐบาลเพื่อไทย” และ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้กำอำนาจตัวจริงจะตัดสินใจอย่างไรต่อไปกับปัญหาไฟใต้

จะประกาศให้บีอาร์เอ็นเป็น “องค์การก่อการร้าย” เพื่อที่จะใช้ “กำปั้นเหล็ก” แก้ปัญหาเหมือนครั้งที่ “รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร” เคยปฏิบัติมาก่อน

หรือจะใช้ “ถุงมือกำมะหยี่” แก้ไขด้วยการเจรจาสันติภาพในรูปแบบใหม่กับขบวนการแบ่งแยกดินแดน นี่คือสิ่งที่สังคมไทยที่ต้องติดตามใกล้ชิด
แต่ที่แน่ๆ หลังวันที่ 25 ตุลาคม 2567 สถานการณ์ไฟใต้จัดอยู่ใน “โซนอันตราย” ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้อง “สำเหนียก” และต้องมี “ยุทธศาสตร์” และ “ยุทธวิธี” ในการรับมือให้ได้

กำลังการผลิตคุณภาพใหม่ช่วยพัฒนาประเทศจีน สร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่โลก

@9 ต.ค. 2567 14:36

โดย.. อู๋ ตงเหมย กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดสงขลา

เดือนกันยายนปี พ.ศ. 2566 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้เสนอให้บูรณาการทรัพยากรด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการชี้นำการพัฒนาอุตสาหกรรมเกิดใหม่เชิงยุทธศาสตร์และอุตสาหกรรมในอนาคต และเร่งการพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่  ข้อเสนอเกี่ยวกับแนวคิด “กำลังการผลิตคุณภาพใหม่” ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญในการพัฒนาของจีนภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในยุคปัจจุบัน และเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนซึ่งอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงและยกระดับ ได้เข้าสู่ขั้นตอนใหม่ของการพัฒนาซึ่งได้รับความสนใจและการพูดถึงอย่างกว้างขวาง

การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 20 ที่เพิ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงระบบและกลไกในการพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของท้องถิ่น วันนี้ ข้าพเจ้าขอแบ่งปันความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับนัยยะของข้อเสนอนี้ ตลอดจนความสำคัญของข้อเสนอนี้ต่อจีนและโลก ดังนี้

ก่อนอื่น เรามาดูกันว่า “กำลังการผลิตคุณภาพใหม่” คืออะไร

คำว่า กำลังการผลิตคุณภาพใหม่ นั้นเกิดขึ้นสืบเนื่องจากกำลังการผลิตแบบดั้งเดิม ความหมายโดยสรุปคือการใช้นวัตกรรมเป็นเครื่องชี้นำ การปฏิรูปเชิงลึก การกำจัดรูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจและเส้นทางการพัฒนาการผลิตแบบดั้งเดิม  เพื่อยกระดับผลผลิตโดยรวมและส่งเสริมกำลังการผลิตขั้นสูง เพื่อให้บรรลุการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง หรือหากกล่าวโดยละเอียด การพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่จะประกอบด้วย 3 ด้านหลัก ได้แก่

ประการแรก ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม “ดั้งเดิม” สู่อุตสาหกรรมระดับไฮเอนด์ เสริมระบบอัจฉริยะ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของจีน แบตเตอรี่ลิเธียม แผงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ ฯลฯ ก็เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงและยกระดับจากอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม

ประการที่สองคือการบ่มเพาะอุตสาหกรรม “ใหม่” รวมถึงการผลิตชีวภาพ การบินอวกาศเชิงพาณิชย์ อุตสาหกรรมเศรษฐกิจการบินระดับต่ำ วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต และอื่นๆ

ประการที่สามคือการส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล ส่งเสริมการบูรณาการเชิงลึกระหว่างเทคโนโลยีดิจิทัลและภาคเศรษฐกิจจริง สร้างกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล  หัวใจของกำลังการผลิตคุณภาพใหม่อยู่ที่การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรปัจจัยการผลิตและการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการยกระดับอุตสาหกรรมผ่านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยได้รับแรงผลักดันจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในเชิงลึก และโดดเด่นด้วยการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมใหม่ สภาพธุรกิจใหม่และรูปแบบธุรกิจใหม่ ซึ่งสร้างกำลังการผลิตที่มีความสัมพันธ์ของการผลิตทางสังคมแบบใหม่และระบบสถาบันทางสังคม
ลำดับต่อไป ข้าพเจ้าขอกล่าวถึงกำลังการผลิตคุณภาพใหม่ว่าสามารถช่วยพัฒนาประเทศจีนได้อย่างไร

การเร่งพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่จะช่วยอัดฉีดพลังทางนวัตกรรมให้กับการพัฒนาด้านต่างๆ ของจีน นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถเร่งให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ โมเดลใหม่ และพลังงานใหม่ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของการพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จีนได้ดำเนินกลยุทธ์การพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างลึกซึ้ง และประสบความสำเร็จด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งประวัติศาสตร์ โดยประสบความสำเร็จอย่างมากมายในด้านยานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุม การผลิตเครื่องบินขนาดใหญ่ ข้อมูลควอนตัม และเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งในการสร้างประเทศแห่งนวัตกรรม

ในปี พ.ศ. 2566 จีนเป็นที่หนึ่งของโลกทั้งด้านจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา จำนวนเอกสารทางวิทยาศาสตร์ที่มีการตีพิมพ์ และจำนวนการยื่นขอรับสิทธิบัตรทั้งหมด ดัชนีนวัตกรรมระดับโลกของจีนเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 29 ในปี พ.ศ. 2554 มาเป็นอันดับที่ 12 ในขณะนี้  ขณะเดียวกัน จีนได้คิดค้นนวัตกรรมการจัดสรรปัจจัยการผลิตและการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง ทำให้ปัจจัยการผลิตขั้นสูงและที่มีคุณภาพสูงทั้งหมดไหลเวียนสู่การพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ได้อย่างราบรื่น

การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 20 เสนอว่าเราควรขยายการเปิดกว้างของกฎระเบียบ การจัดการและมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขที่ดีขึ้นสำหรับการพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่

การเร่งพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่จะช่วยผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีนอย่างแข็งแกร่ง ปัจจุบัน เศรษฐกิจของจีนกำลังเปลี่ยนไปสู่ขั้นของการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง การเร่งก่อตัวของกำลังการผลิตคุณภาพใหม่จะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงและการยกระดับเศรษฐกิจของจีนอย่างต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ GDP ของจีนอยู่ที่ 61.7 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบเป็นรายปี และปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจยังคงมีเสถียรภาพ

สำหรับเศรษฐกิจขนาดใหญ่พิเศษอย่างจีนการจะบรรลุการเติบโตด้วยความเร็วปานกลางถึงสูงประมาณ 5% นั้นถือว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาในบริบททั่วโลกแล้วเศรษฐกิจของจีนยังคงรักษาบทบาทผู้นำโดยมีอัตราการเติบโตเร็วกว่าประเทศเศรษฐกิจหลักๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ยูโรโซน และญี่ปุ่นอย่างมาก

การเร่งพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่จะช่วยตอบสนองความต้องมีชีวิตที่ดีของประชาชนได้ดีขึ้นด้วยการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง เราจะต้องทำให้ “เค้ก” ใหญ่ขึ้นและแบ่ง “เค้ก” ให้ดี การเร่งพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ๆ และการสร้างงานที่มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้นจะทำให้ผู้คนมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น ในเวลาเดียวกันก็ต้องยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์และอุปทานต่อไป อีกทั้งตอบสนองความต้องการที่หลากหลายและที่แตกต่างกันของผู้คนด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ชาญฉลาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น การเร่งพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่จะมอบโซลูชั่นใหม่สำหรับการปรับปรุงความเท่าเทียมของโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะต่อไป เพื่อให้ผลลัพธ์ของการปรับปรุงความทันสมัยเป็นประโยชน์ต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้าย เรามาดูกันว่ากำลังการผลิตคุณภาพใหม่จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับโลกได้อย่างไร

จีนพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่โดยมุ่งฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองประชาชาติจีน ขณะเดียวกันก็ใช้ความทันสมัยของจีนส่งเสริมการพัฒนาสันติภาพ ความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์แก่ทุกฝ่ายและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของโลก

การเร่งพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ของจีนจะช่วยให้โลกมีตลาดและพื้นที่การลงทุนที่กว้างขึ้น จีนเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ยังรอการปรับปรุงโครงสร้างการบริโภค และเป็นทำเลทองของการลงทุน กำลังการผลิตคุณภาพใหม่จะช่วยกระตุ้นความมีชีวิตชีวาและศักยภาพของตลาดขนาดใหญ่ของจีน และดึงดูดผลิตภัณฑ์จากทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคมปีนี้ มูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของจีนสูงถึง 106 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบเท่ากับมูลค่าการนำเข้ารวมของสหภาพยุโรปในช่วงเวลาเดียวกัน

ผลิตภัณฑ์บางส่วนที่มีอัตราการนำเข้าเติบโตอย่างรวดเร็วมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ บริษัทข้ามชาติได้รับผลตอบแทนมหาศาลในตลาดจีน โดยมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในจีนสูงถึงประมาณ 9% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา การส่งเสริมกำลังการผลิตคุณภาพใหม่ของจีนจะนำมาซึ่งความเป็นไปได้ทางการตลาดอย่างไม่สิ้นสุด และโอกาสการพัฒนาที่กว้างขวางอย่างไม่มีใครเทียบได้สำหรับนักลงทุนทั่วโลก
การเร่งพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ของจีนจะช่วยให้โลกเกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในปี พ.ศ. 2566 การส่งออก “สามผลิตภัณฑ์ใหม่” ของจีน ได้แก่รถยนต์พลังงานใหม่ แบตเตอรี่ลิเธียม และผลิตภัณฑ์โซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นเกือบ 30% ซึ่งมีมูลค่าทะลุหลักล้านล้านหยวน วิสาหกิจจีนที่ก้าวสู่ต่างประเทศยังได้นำเอาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ขั้นสูงใหม่ๆ พลังงานสะอาด ชีวเวชศาสตร์ เมืองอัจฉริยะ เกษตรกรรมประสิทธิภาพสูง และอื่นๆ ออกสู่ตลาดโลกด้วย

ตั้งแต่ต้นปีนี้ การส่งออก “สามผลิตภัณฑ์ใหม่” ยังคงอัตราการเติบโตที่รวดเร็ว ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการใหม่ของประเทศในกลุ่มอาเซียนรวมทั้งทั้งประเทศไทย และประเทศในเอเชียกลางอื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้น
การพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ของจีนจะทำให้โลกมีโอกาสใหม่ในการก้าวกระโดดทางอุตสาหกรรมระดับโลก ในฐานะผู้บุกเบิกการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก ประสบการณ์ของจีนในด้านสำคัญ ๆ เช่น การกำกับดูแลด้านการพัฒนาที่สมดุล การปกป้องข้อมูล และแอปพลิเคชัน เป็นต้น ถือเป็นคุณค่าที่ขาดไม่ได้สำหรับการปรับปรุงระบบธรรมาภิบาลดิจิทัลทั่วโลก

เทคโนโลยีดิจิทัลของจีนมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างครอบคลุม การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สวัสดิการสังคม และด้านอื่นๆ โดยสามารถเป็นแนวทางที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความมีชีวิตชีวาของนวัตกรรมและกระบวนการยกระดับอุตสาหกรรมทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ  “โซลูชันจีน” แห่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลจะช่วยลดต้นทุน ปรับปรุงประสิทธิภาพ และเพิ่มรายได้ให้กับองค์กรขนาดเล็กและขนาดกลางของประเทศกำลังพัฒนา

ด้วยการสร้างเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” จะทำให้ความพยายามของจีนในการพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ส่งผลดีต่อทุกประเทศ และช่วยเพิ่มแรงผลักดันแก่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จีนและไทยมีการแลกเปลี่ยนกันอย่างใกล้ชิดในหลายๆ ด้าน และมีส่วนเสริมระหว่างกันทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ดังนั้น การพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ของจีนย่อมช่วยเพิ่มพลังให้แก่เศรษฐกิจไทยด้วย

ยกตัวอย่างรถยนต์ไฟฟ้า ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์ที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การลงทุนของบริษัทรถยนต์จีนในประเทศไทยกำลังผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยยกระดับอย่างรวดเร็วสู่อุตสาหกรรมสีเขียวและคาร์บอนต่ำ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนได้สร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่สมบูรณ์ในประเทศไทย เช่น การประกอบรถยนต์ แบตเตอรี่รถยนต์ และการผลิตชิ้นส่วน ซึ่งได้นำเอาเทคโนโลยียานยนต์พลังงานใหม่และประสบการณ์ด้านการจัดการมาช่วยให้ประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นศูนย์กลางของการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัฐบาลไทยวางแผนที่จะเพิ่มการผลิตรถไฟฟ้าเป็น 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี พ.ศ.2573

อุตสาหกรรมยานยนต์ได้กลายเป็นกำลังสำคัญในการส่งเสริมระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน-ไทย และกับประเทศอื่นๆในกลุ่มอาเซียน ดังที่นายสุโรจน์ แสงสนิทรองประธานสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยกล่าวว่า การที่ผู้ผลิตรถยนต์จีนใช้ข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาจัดตั้งโรงงานและบริษัทร่วมทุนในประเทศไทย ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดก็คือคนไทยและอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย

การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 20 ระบุว่าเราต้องปฏิบัติตามนโยบายพื้นฐานระดับชาติในการเปิดกว้างสู่โลกภายนอก ยืนหยัดส่งเสริมการปฏิรูปด้วยการเปิดกว้าง ขยายการเปิดกว้างสู่โลกภายนอกในระดับสูงอย่างแน่วแน่ และสร้างสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขที่ดีขึ้นสำหรับการพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่

จีนไม่สามารถพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ได้หากตัดขาดจากโลก และโลกก็ต้องการจีนเช่นกัน จีนจะยังคงสนับสนุนแนวคิดการเปิดกว้าง ความร่วมมือเอื้อประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ตลอดจนทำงานร่วมกับประเทศต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองและการพัฒนาของเศรษฐกิจโลกต่อไป

หัวข้อทั้งหมด

ชิลล์ฯ เที่ยว - ชิม - ชอป

ชวนชิมเมนูเด็ด “เต้าฮวยเย็นทรงเครื่อง” รับประกันความอร่อยลูกค้าติดตรึม

@14 ส.ค. 2567 16:06

ชวนลองร้านน้ำเต้าหู้ถั่วเหลือง 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องใช้บัตรคิวตามลำดับมาก่อนหลัง เมนูเด็ด “เต้าฮวยเย็นทรงเครื่อง” เจ้าของร้านรับประกันความอร่อยและลูกค้ายังคงเหนียวแน่นไม่มีลด มีแต่เพิ่มขึ้นทุกวัน

สีสัน น้ำเต้าหู้ถั่วเหลือง 100 เปอร์เซ็นต์ ของคุณนพรัตน์ – คุณวรกร บุญช่วย สองสามีภรรยา ที่เปิดขายน้ำเต้าหู้ ริมถนนหน้าบ้าน เลขที่ 43 ถนนพัทลุง เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งเป็นร้านขายน้ำเต้าหู้ชื่อดัง ที่มีลูกค้ามาอุดหนุนทุกวันเป็นจำนวนมาก จนต้องนำเครื่องกดบัตรคิวมาให้ลูกค้าแต่ละคนกดคิวตัวเอง เพื่อจัดลำดับก่อนหลังตามคิวบัตร โดยเมื่อลูกค้าเข้ามาถึงจะต้องไปกดบัตรคิวก่อน และเมื่อถึงคิวตนเองจึงจะสั่งซื้อได้ โดยเปิดขายระหว่างเวลา 16.30 - 20.30 น. ทุกวัน โดยจะมีลูกค้าหนาแน่นในช่วงตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป โดยได้เปิดขายน้ำเต้าหู้เข้าปีที่ 6 แล้ว

ทางร้านมีเมนูประกอบด้วย บัวลอยน้ำขิง 30 บาท บัวลอยน้ำเต้าหู้ ราคา 30 บาท เต้าทึงเย็น 25 บาท เต้าฮวยเย็นทรงเครื่อง 35-40 บาท และเต้าฮวยสูตรต้นตำรับ 30 บาท และมีเมนูเด็ดที่คิดค้นขึ้นมา ก็คือ เมนูเต้าฮวยเย็น ที่คิดขึ้นมาเองได้รับการตอบรับดีมากและก็ขายดีด้วย เป็นเมนูที่ขายดีประจำร้าน โดยมีเต้าฮวย มีแปะก๊วย ปาท่องโก๋กรอบ โรยน้ำแข็ง แล้วก็ทานรวมพร้อมกัน ซึ่งเป็นรสชาติที่บอกว่ากินแล้วชื่นใจ เป็นเมนูที่ขายดีที่สุดของร้าน สำหรับราคาเต้าฮวยเย็น ถ้าเป็นสูตรธรรมดา ต้นตำรับที่เราคิด ขายถ้วยละ 30 บาท แต่ถ้าคนที่ชอบทานเครื่องเพิ่ม อาจจะใช้ลูกเดือย บาร์เลย์ หรือว่าถั่วเหลืองซีกเพิ่มขึ้นมาก็เป็น 40 บาท

สำหรับแรงบันดาลใจที่ได้มาทำตรงนี้ คุณนพรัตน์ บอกว่า เนื่องจากมองว่าในย่านนี้ยังไม่มีน้ำเต้าหู้ขาย ช่วงนั้นว่างงานอยู่พอดีก็คิดว่าทำอะไรที่ขายหน้าบ้านได้ ก็นั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวันก็เลยมาลองขายน้ำเต้าหู้ คิดว่าจะขายสนุกๆ สบายๆ แต่กลับได้การตอบรับค่อนข้างผิดคาด จึงคิดว่าตัวนี้ไปได้จึงขายตลอดมาปีนี้เข้าปีที่ 6 แล้ว ที่ขายอยู่มีน้ำเต้าหู้ ร้อนเต้าหู้เย็น เต้าฮวยร้อนเต้าฮวยเย็น และเมนูที่ไม่เหมือนที่อื่นก็คือเต้าฮวยเย็นทรงเครื่อง ซึ่งอันนี้เราคิดขึ้นมาเองไม่เหมือนที่อื่น

เบตงพร้อมแล้ว! งานวิ่งเทรลระดับโลกครั้งที่ 2 Amazean Jungle Thailand 2024

@25 เม.ย. 2567 15:37

ประธาน กพต.แถลงความพร้อมจัดงานวิ่งเทรลสนามระดับโลก ครั้งที่ 2 Amazean Jungle Thailand 2024 @เบตง ที่ อ.เบตง จ.ยะลา 3-5 พ.ค.นี้ คาดกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 300 ล้านบาท

วานนี้ (24 เม.ย.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ (กพต.) ร่วมกับนายกิตติ เชาว์ดีเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายชนธัญ แสงพุ่ม รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และ Mrs.Sabrina De Nadai UTMB Asia Director แถลงข่าวการจัดการแข่งขันวิ่งเทรล Amazean Jungle Thailand by UTMB 2024

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การจัดการแข่งขันวิ่งเทรล Amazean Jungle Thailand by UTMB 2024 ถือว่าเป็นการจัดงานวิ่งระดับโลก เพราะได้รับการรับรองมาตรฐานจาก UTMB : Ultra Trail du Mont Blanc ที่เป็นผู้จัดงานวิ่งเทรลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยการจัดงานครั้งนี้ หน่วยงานหลักที่เป็นผู้รับผิดชอบ คือ ศอ.บต.ร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซึ่งการจัดงานครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 โดยครั้งแรกจัดเมื่อปี 2566 นับว่าประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี โดยในครั้งนั้น มีนักวิ่งเทรลเข้าร่วมโครงการ จำนวน 2,539 คน จาก 48 ประเทศทั่วโลก กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากถึง 243 ล้านบาท

สำหรับการจัดการแข่งขันวิ่งเทรล ในปี 2567 จะจัดขึ้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา โดยเปิดรับสมัครไปแล้วตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 และจัดการแข่งขันในวันที่ 3–5 พฤษภาคม 2567 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการแข่งทั้งหมด 3,480 คน จาก 48 ประเทศทั่วโลก แบ่งเป็น คนต่างชาติ 28% เช่น มาเลเซีย 15% จีน 4% ญี่ปุ่น 1% และ คนไทย 72% โดยคาดว่า จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 300 ล้านบาท ซึ่งการจัดงานวิ่งครั้งนี้ จุดปล่อยตัวคือ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อยู่กลางเมืองเบตง จะวิ่งผ่านสถานที่สำคัญ เช่น เทือกเขาสันกาลาคีรี จุดชมวิวทะเลหมอกจาเราะกางา จุดชมวิวทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต และอุโมงค์ปิยะมิตร เป็นต้น

นายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า งานแข่งขันวิ่งเทรลมี 6 ระยะแข่งขัน ได้แก่ 3.5 กม., 16 กม., 26 กม., 54 กม., 103 กม. และ 145 กม. โดยมีรางวัลการแข่งขัน ดังนี้ ระยะ 145 กม.,03 กม. และ 54 กม. อันดับที่ 1 ชายและหญิง เงินรางวัล 600 ยูโร (ประมาณ 23,000 บาท) อันดับที่ 2 ชายและหญิง เงินรางวัล 450 ยูโร (ประมาณ 18,000 บาท) อันดับที่ 3 ชายและหญิง เงินรางวัล 300 ยูโร (ประมาณ 11,500 บาท) ส่วนระยะ 26 กม. และ 16 กม. จะรับถ้วยรางวัล สำหรับอันดับที่ 1-5 ชายและหญิง โดยประโยชน์ของการจัดงานครั้งนี้ ผู้เข้าแข่งขันจะได้มีโอกาสสัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติ วิถีชีวิต วัฒนธรรม อาหาร รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดชายแดนใต้

ทั้งนี้ ต่างชาติยกให้ อ.เบตง เป็นเพชรที่ซ่อนในภาคใต้ จึงถือเป็นสิ่งที่น่ายินดีที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชื่นชมความสวยงามของเมืองเบตง พร้อมยกระดับการจัดแข่งขันให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันและผู้ติดตามมั่นใจ ประทับใจในการเดินทางมาร่วมแข่งขัน และดึงดูดให้นักวิ่งเทรลทั่วโลกกลับมาเยือนทุกๆ ปี ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวที่ดี โดยเฉพาะมิติด้านการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่สายตาชาวโลก

หัวข้อทั้งหมด

วรรณกรรม - ศิลปะ - วัฒนธรรม

หนังตะลุงและมโนราห์ ลิเกป่าและเพลงบอก คือศิลปะวัฒนธรรม ที่ถือเป็นการละเล่นในท้องถิ่น

@28 มิ.ย. 2566 10:23

โดย.. ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล

หนังตะลุงและมโนราห์ ลิเกป่าและเพลงบอก คือ “ศิลปะวัฒนธรรม” ที่ถือเป็นการละเล่น ในท้องถิ่น ที่มีประวัติความเป็นมา ที่เก่าแก่และยาวนานของผู้คนในภาคใต้ ที่เคยผ่านความรุ่งเรืองและรุ่งโรจน์มาในยุคสมัยหนึ่ง ที่ถูกกล่าวขาน ถึงในศิลปะการแสดง ที่เป็นที่จดจำจนกลายเป็นตำนานที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว

เช่น “มโนราห์เติม วิน-วาด” คณะมโนราห์ชื่อดังจากเมืองตรัง หนังกั้น ทองหล่อ หนังฉิ้น ธรรมโฆษณ์ แห่ง จ.สงขลา หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล หรือ “พร้อม บุญฤทธิ์” ที่มีประวัติจาก “นายหนังตะลุง” ไปเป็น “ส.ส.” หรือผู้แทนราษฎรแห่ง จ.พัทลุง และหนังอิ่มเท่ง หนัง นครินทร์ ชาทอง หนังสกุล เสียงแก้ว ซึ่งหลายท่านเป็น “ศิลปินแห่งชาติ” ที่เป็นผู้มีชื่อเสียง และคุณูประการต่อวงการศิลปินพื้นบ้านอย่างอเนกอนันต์

วันนี้ วงการของ “ศิลปินพื้นที่บ้าน” อย่างลิเกป่าและเพลงบอก อาจจะเหลืออยู่ไม่กี่คณะทั้งภาคใต้ และอาจจะหมดไปตามกาลเวลา เพราะคนสมัยใหม่ไม่รู้จัก และไม่นิยมชมชอบการละเล่น หรือการแสดงของศิลปินพื้นถิ่นในยุคเก่า เช่นเดียวกับมโนราห์และหนังตะลุง ที่ แม้จะมีอยู่จำนวนไม่น้อยในภาคใต้ ที่ยังรับงานแสดงอยู่ แต่การแสดงก็ไม่ชุกชุมเหมือนในอดีต ที่หนังตะลุงบางคณะอย่าง “หนังน้องเดียว” ที่เคยมีขันหมากรับการแสดงข้ามปี และมี “ค่าราด” ที่กล่าวขานว่า แพงที่สุดในหมู่คณะหนังตะลุงในภาคใต้

โดยเฉพาะคณะหนังตะลุงใน “ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา” ซึ่งมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 30 คณะ ที่ส่วนหนึ่งเป็นนายหนังรุ่นใหม่ ที่เข้ามาทดแทนคณะหนังตะลุงรุ่นเก่า ที่อายุมากและล้มหายตายจากไปจากวงการศิลปินพื้นบ้าน เหลือแต่ชื่อเสียงเป็น “ตำนาน” ให้กล่าวถึงและกำลังเลือนหายไปตามกาลเวลา

วันนี้ สถานะของหนังตะลุงในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ก็ยังคงลุ่มๆ ดอนๆ แบบยึดเป็นอาชีพไม่ได้ ยกเว้นบางคณะที่มีชื่อเสียง แต่การที่จะมีผู้รับไปแสดงเดือนละ 20 คืน หรือ มากกว่านั้นอย่างในอดีตคงจะไม่หวนกลับมาอีกแล้ว เพราะเท่าที่ติดตามการแสดงของหนังตะลุง จะเห็นว่า ส่วนใหญ่เป็นงานแก้บน เป็นงานวัด งานประเพณี วัฒนธรรม หรืองานประจำปี เช่น งานสารทเดือนสิบที่ จ.นครศรีธรรมราช ส่วนงานกาชาด งานสวนสนุก เป็นงานที่หนังตะลุงได้รับการติดต่อไปแสดงน้อยต่อน้อย

จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของคณะหนังตะลุง ที่เป็นพัฒนาการ เพื่อนำเสนอการแสดงในแนวใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม ที่คนดูหนังตะลุงไม่ได้นั่งหน้าจอ เพื่อชมการแสดงคน “รุ่งแจ้งคาตา” เหมือนในอดีต แต่คนดูหนังตะลุง หลังเที่ยงคืนก็กลับบ้านแล้ว คณะหนังตะลุงจึงแสดงให้คนดูไม่เกิน 3-4 ชั่วโมง การเล่นหนังหรือแสดงหนังจึงมีการเปลี่ยนแปลงเป็นการเล่นเรื่องไปเน้นความบันเทิง “ตลกโปกฮา” และการร้องเพลงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการเดินเรื่องและขับกลอนลดน้อยลง เพราะแม้กลอนดีและเสียงหวาน แต่คนรุ่นใหม่เข้าไม่ถึงศิลปะเหล่านี้ หลายคณะที่เป็น “นายหนังรุ่นใหม่” ที่ นำเอาผู้เล่นตลกและคนดังที่เป็นดาวติ๊กต็อกไปโชว์ตัว โชว์เสียง โชว์ลีลา ให้ผู้มาชมการแสดงได้ดู จึงเป็นอีกช่องทางในการเรียกผู้ชมให้ติดตามการแสดงของคณะหนังตะลุง แม้จะผิดเพี้ยนจาก “ขนบ” ดั้งเดิมของหนังตะลุงในอดีต ตาเป็นความจำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

และอีกความเปลี่ยนแปลงคือ การแสดงที่นำเสนอผู้ชมในยูทูปและติ๊กต็อก และในช่องทางอื่นๆ ในสื่อโชเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นช่องทางของการเสพสื่อ ที่ทันสมัย สอดคล้องกับโลกในปัจจุบัน ที่ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย และเข้าถึงได้ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปดูไปชมการแสดงถึงสถานที่หน้าเวที

เป็นการแสดงบนยูทูปและติ๊กต็อก ที่เป็นคลิปสั้นๆ เน้นตลกโปกฮา สร้างอารมณ์ขันเป็นด้านหลัก แต่ก็มีผู้ติดตามที่มากพอสมควร เป็นการลงทุนไม่น้อยกว่าการแสดง ที่มีทั้งลูกคู่และอุปกรณ์การแสดง ที่ต้องใช้รถ 6 ล้อ ในการบรรทุกอุปกรณ์การแสดง ในขณะที่ค่าจ้างลดน้อยลง และที่สำคัญ บางครั้งผู้ที่มาชมการแสดงที่หน้าโรงหนัง อาจะน้อยกว่าลูกคู่และพนักงานของคณะหนังด้วยซ้ำ นี่หมายถึงนายหนัง ที่ชื่อเสียงยังไม่ดัง ซึ่งเป็นนายหนัง หรือคณะหนังรุ่นใหม่ ในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา

“ชนนพัฒน์ นาคสั้ว” ผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชารัฐ เขตเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นบุคคล ที่มองเห็นถึงความไม่แน่นอนของอาชีพการเป็นคณะหนังตะลุงในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้กล่าวว่า ตนเองมองเห็นถึงปัญหาของนายหนังตะลุงและคณะหนังตะลุง ที่ประกอบด้วยผู้คนจำนวนหนึ่ง ที่ประกอบเป็นคณะหนัง แต่ละคณะ ไม่ต่ำกว่า 10 คน ที่เมื่อคณะหนังมีการแสดงน้อยลง ก็ต้องได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดน้อยลง ต้องประกอบอาชีพอื่นๆ เป็นอาชีพหลัก เพราะการเป็นลูกคู่ของการแสดงหนังตะลุง รายได้ไม่แน่นอน ซึ่งในระยะยาว ย่อมส่งผลกระทบถึงอาชีพการเป็นลูกคู่ ที่เป็นศิลปะของการเล่นดนตรี ที่อาจจะสูญหายไปในอนาคต เช่น นายปี่ นายทับ นายโหม่ง และมือซอ เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ได้รับผลกระทบจากการที่หนังตะลุงมีผู้รับไปแสดงน้อยลง คือผู้ที่มีอาชีพในการแกะรูปหนัง ที่ใช้ในการแสดง ที่เป็นงานศิลปะในอีกแขนงหนึ่ง ที่เมื่อการแสดงของคณะหนังน้อยลง ความต้องการ “รูปหนัง” ก็จะน้อยลง ซึ่งกระทบกับรายได้และงานฝีมือที่อาจจะต้องเลิกราไปในที่สุด

“ในฐานะของ ส.ส. ที่เป็นผู้แทนในเขต 4 สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ผมมีนโยบายในการส่งเสริมการแสดงหนังตะลุง และการอนุรักษ์ศิลปะ ศิลปินพื้นบ้าน สาขาหนังตะลุง ที่มีอยู่ประมาณ 25-30 คณะ ให้สืบสานศิลปะวัฒนธรรม การเล่นหนังหรือการแสดงหนังตะลุง ให้มีรายได้ ที่ยึดเป็นอาชีพ มีงานการแสดง และมีการตั้งกองทุน หรือการได้รับการดูแล และการส่งเสริม จากหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคประชาชน”

“ขณะนี้ อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล อุปสรรค ปัญหาต่างๆ ของคณะหนังตะลุงในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง เพื่อเป็นแนวทางในการที่จะสืบสานศิลปะวัฒนธรรม การแสดงหนังตะลุง ให้เป็นอาชีพที่มั่นคง เพื่อให้ศิลปะการแสดงหนังตะลุงอยู่คู่กับประชาชนในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาสืบไป”

แน่นอน เรื่องของหนังตะลุง หรือการแสดงหนังตะลุง คือ เอกลักษณ์ของคนใต้ที่มีความสำคัญ ที่บอกถึงรากเหง้าของคนใต้ ที่เกี่ยวกับศิลปะวัฒนธรรม ที่ต้องดำรงไว้เพื่อให้อยู่คู่กับคนใต้ตลอดไป จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ ส.ส.ที่เป็นคนรุ่นใหม่ อย่าง “ชนนพัฒ์ นาคสั้ว” ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เขต 4 สงขลา มองเห็นถึงความสำคัญ และมีแนวทางในการส่งเสริมสนับสนุนการแสดงหนังตะลุง ในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาให้มั่นคงสืบไป

“พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา” นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด จ่าเพียรขาเหล็ก

@12 มี.ค. 2566 13:02

12 มี.ค.2553 พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา เสียชีวิตจากการซุ่มโจมตีด้วยการวางระเบิดรถยนต์ และยิงถล่มซ้ำด้วยอาวุธสงคราม ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่บ้านทับช้าง ต.ตลิ่งชัน ขณะนำกำลังออกปฏิบัติการกดดันแนวร่วมขบวนการ

นั่นคือปฏิบัติการสุดท้ายของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา หรือ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ที่เป็นสมญานามของ พ.ต.อ.สมเพียร ที่ได้ทำหน้าที่ ปกป้องประเทศชาติ และประชาชนด้วย “ชีวิต” ปิดฉากชีวิตของนักรบ นักสู้ แห่งเทือกเขาบูโด อันลือลั่นกว่า 40 ปี

วันนี้ในอดีต เมื่อ 13 ปีที่แล้วตรงกับวันที่ 12 มีนาคม 2553 วันถึงแก่กรรม พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา จังหวัดยะลา ได้ฉายาว่า จ่าเพียรนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด และจ่าเพียรขาเหล็ก

พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เป็นอดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา จังหวัดยะลา รับราชการตำรวจตั้งแต่เป็นพลตำรวจ จนถึงยศพันตำรวจเอก และได้รับพระราชทานยศพลตำรวจเอกเป็นกรณีพิเศษ

จากการปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเวลากว่า 40 ปี กระทั่งเคยได้รับการโปรดเกล้าฯ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง

กระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อปี 2525 จากการเสนอขอพระราชทานโดย พล.อ.เทียนชัย ศิริสัมพันธ์ เป็นตำรวจชั้นประทวนคนแรกที่ได้รับพระราชทาน

พล.ต.อ.สมเพียร เกิดวันที่ 6 พฤศจิกายน 2493 ที่ ต.วังใหญ่ อ.เทพา จ.สงขลา จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนมัธยมเทพา มัธยมศึกษาตอนปลายจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมา เข้าเรียนที่โรงเรียนตำรวจภูธร 9 จังหวัดยะลา เมื่อปี 2513 (นพต. รุ่น 15) เริ่มต้นชีวิตรับราชการตำรวจที่ สภ.อ.บันนังสตา จ.ยะลา

วันที่ 12 มีนาคม 2553 ในขณะที่ พล.ต.อ.สมเพียร นั่งรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้าไฮลักซ์ วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา พร้อมลูกน้อง 3 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย ออกไปติดตามหาข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ หลังทราบข่าวว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ออกมาเคลื่อนไหวในพื้นที่เพื่อเตรียมก่อเหตุร้ายครั้งใหญ่

เมื่อขับรถยนต์มาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ มีคนร้ายไม่ทราบกลุ่ม จำนวน 5-8 คน กดระเบิดที่ฝังไว้ และใช้อาวุธสงครามยิงเข้าใส่ จำนวนหลายชุด เกิดการปะทะกันประมาณ 10 นาที เมื่อกำลังเสริมเข้าไปกลุ่มคนร้ายได้ล่าถอยเข้าไปในป่า ทั้งหมดถูกลำเลียงทั้งทางรถยนต์ และทางเฮลิคอปเตอร์เป็นการด่วน

แรงระเบิดและคมกระสุนส่งผลให้ พล.ต.อ.สมเพียร ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตที่ รพ.ศูนย์ยะลา สิริอายุ 59 ปี และได้รับพระราชทานยศ พลตำรวจเอก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทยเป็นกรณีพิเศษ

ก่อนหน้านั้น วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ได้เดินทางเข้าพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อร้องเรียนกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับรอง ผบก.สว.ที่ผ่านมา

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นความจำนงขอพิจารณาโยกย้ายเป็น ผกก.สภ.กันตัง จ.ตรัง พื้นที่ของ บช.ภาค 9 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ว่างอยู่ในปีสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ แต่ก็ไม่ได้รับการพิจารณา ครั้งนั้นผู้กำกับกระดูกเหล็กถึงกับหลั่งน้ำตาและเปิดใจตัดพ้อไว้ว่า...

"รับราชการตำรวจมาร่วม 40 ปี และใช้ชีวิตอยู่ใน สภ.บันนังสตา มานานตั้งแต่สมัยชั้นประทวน ต่อสู้กับคนร้ายจนรอดตายมาหลายครั้ง ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็หลายหน ครั้งนี้รู้สึกเหนื่อยล้า และเป็นปีสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ จึงขอโยกย้ายออกนอกพื้นที่ไปอยู่บ้านภรรยาที่ตรัง

และผู้บังคับบัญชารับปากจะพิจารณาให้ย้ายไปที่โรงพักดังกล่าว แต่พอคำสั่งแต่งตั้งมาปรากฏว่าไม่ได้ย้าย คงอยากจะทำเรื่องขอพระราชทานยศ พล.ต.อ.ให้ตนตอนตายแล้วมากกว่า"

วันที่ 17 มีนาคม 2553 เมื่อเวลา 14.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร (พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์เพื่อเป็นองค์ประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ณ วัดคลองเปล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ยังความปลื้มปีติให้แก่ครอบครัวของ พล.ต.อ.สมเพียร เป็นล้นพ้น

ปัจจุบัน มีรูปปั้นจ่าเพียร ซึ่งมีการสร้างไว้ในวัดคลองเปล เพื่ออนุสรณ์สถานในคุณงามความดีของจ่าเพียร และบทประพันธ์สดุดีความกล้าหาญของจ่าเพียร ที่สละชีพเพื่อชาติ “วีรชนคนกล้าของแผ่นดิน” มีเนื้อความว่า

จากลูกพล สู่นายพล ด้วยผจญความร้อนหน้าว ผ่านศึกทุกครั้งคราว บากบั่นสู้ไม่ถอยหนี จากแรงกายสู่แรงใจ ทุ่มเทให้ในหน้าที่ สละเลือดเป็นชาติพลี ขอสดุดี "จ่าเพียร"

หัวข้อทั้งหมด

เราเป็นสมาชิก
  • สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย
  • สมาคมหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย