The Agenda South

จาก “รอมฎอนเลือด” ถึง “สงกรานต์-เข้าพรรษาเดือด”

by sorawit @1 เม.ย. 2567 13:23 ( IP : 124...17 ) | Tags : ทัศนะ - สนทนา
photo  , 1080x1080 pixel , 127,853 bytes.

ทัศนะ : ไชยยงค์ มณีพิลึก


ปฏิบัติการในคืนวันที่ 21 ต่อเนื่องถึง 22 มีนาคม 2567 ที่มีการโจมตี 45 เป้าหมายเน้นสถานประกอบการ ร้านค้า ร้านสะดวกซื้อและโรงงาน นอกจากจะ “ฉีกหน้า” หน่วยงานความมั่นคงอีกครั้งใหญ่แล้ว ยังได้บอกสังคมว่า นโยบายดับไฟใต้ของทุกรัฐบาลที่ผ่านมาล้วน “ล้มเหลว” อย่างสิ้นเชิง

ผู้เขียนมีโอกาสลงพื้นที่ที่ถูกก่อวินาศกรรมหลายจุด ได้พูดคุยกับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ และได้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิด จึงพอสรุปได้ว่าเป็นฝีมือของกลุ่มติดอาวุธบีอาร์เอ็น และเป็นปฏิบัติการที่มีรูปแบบเหมือนๆ กับแทบจะทุกครั้งที่ผ่านๆ มา

เช่นมีการล็อกเป้าหมายชัดเจน รู้สภาพภายในละเอียดและจุดอ่อน-จุดแข็งในพื้นที่ จึงเข้าปฏิบัติการและถอยหนีได้อย่างรวดเร็ว โดยหลบหนีได้เตรียมเส้นทางที่หลีกเลี่ยงการปะทะได้เป็นอย่างดี ถือว่าเข้าตำรา “เป้าหมายชัด โอกาสมี ทางหนีพร้อม” จึงลดความสูญเสียได้เป็นอย่างดี

แม้แต่การจัดชุดปฏิบัติการก็เป็นไปแบบเดิมๆ คือ “ชุดเข้าทำลายเป้าหมาย 6 คน” และอีก “ชุดคอยคุ้มกัน 6 คน” ถือว่ามีการวางแผนไว้อย่างรอบคอบ ซึ่งก็ไม่ใช่วิธีการหรือมีพัฒนาการอะไรใหม่ๆ เพราะแม้แต่อุปกรณ์ที่ใช้ก่อวินาศกรรมก็ยังเป็นแบบเดิมๆ เช่นกัน

การเข้าปฏิบัติการในสถานที่ที่มี “รปภ.” ก็เป็นแบบเดิมๆ คือบังคับให้อยู่เฉยๆ ซึ่งถึงไม่บังคับก็ไม่มีใครกล้าขัดขืนต่อสู้อยู่แล้ว ขณะที่ในเขตชุมชนก็มีการ “เคาะประตู” สั่งให้ประชาชนในบริเวณนั้นอยู่ในความสงบ ซึ่งทุกบ้านร้านช่องก็เชื่อฟัง เพราะในพื้นที่จัดว่าอิทธิพลกลุ่มคนร้าย “อยู่เหนือ” อำนาจรัฐมาอย่างยาวนาน

ที่ไม่มีการทำร้ายใครเลยเป็นเพราะคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเป็น “มุสลิม” และเป็นไปตามแนวทางที่องค์กรชาติตะวันตกอย่าง “เจนีวาคอลล์” วางไว้ให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับมวลชนในพื้นที่

ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า เป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของผู้ประกอบการภาคเอกชนในพื้นที่ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ความล้มเหลวในการป้องกันเหตุร้าย หนนี้จะโทษใครไม่ได้ทั้งนั้น นอกเสียจาก “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” หน่วยงานของ “กองทัพ” ที่เป็นผู้รับผิดชอบหลัก

ไม่ใช่ “โจรใต้” เก่งกว่า “เจ้าหน้าที่” หรือมีพัฒนาการใหม่ๆ แต่เป็นเพราะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ทำงานแบบ “ย่ำเท้าอยู่กับที่” มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งใน “สงครามความคิด” และ “สงครามการต่อสู้” แม้สภาพการณ์เช่นนี้ประจานตัวเองมายาวนาน แต่ที่ผ่านๆ มาหน่วยงานนี้ก็ไม่เคยมีคำตอบอะไรให้แก่ประชาชนอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน

การที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าออกมาให้ข่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นฝีมือของ “นักรบหน้าขาว” หรือแนวร่วมรุ่นใหม่ที่ยังไม่มีประวัติมาก่อน ทำให้การป้องกันการก่อเหตุทำได้อย่างยากลำบาก คำกล่าวเช่นนี้ตีความเป็นอื่นไม่ได้เลย นอกจากเป็นการให้ข่าวที่ “ฉีกหน้า” หน่วยงานตนเองอย่างไม่น่าอภัย

เพราะนั่นแสดงว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เองก็ไม่สามารถ “หยุดกระบวนการบ่มเพาะ” เยาวชนคนรุ่นใหม่ของฝ่ายบีอาร์เอ็นได้ ตลอดห้วงไฟใต้ระลอกใหม่กว่า 20 ปีมานี้จึงไม่รู้ว่ามีคนหนุ่มสาวถูกชักนำเข้าสู่ขบวนการได้มากน้อยแค่ไหน นี่คือ “โจทย์อันตราย” ที่ไม่เคยมีคำตอบให้แก่ประชาชน และโดยเฉพาะคนในพื้นที่

ปัญหานี้ตรงกับข้อมูลที่ผู้เขียนได้รับจากแหล่งข่าววงในมาว่า เวลานี้กองกำลังติดอาวุธของฝ่ายบีอาร์เอ็นในชายแดนใต้มีแต่เพิ่มขึ้นทุกวัน อย่างมีรายงานสถานการณ์ล่าสุดว่า ใน จ.นราธิวาส เพิ่มขึ้นถึง 2 กองร้อย ขณะที่ จ.ปัตตานี และ จ.ยะลา เพิ่มขึ้น 1 กองร้อย

มีการเปิดเผยเพิ่มเติมด้วยว่า กองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นยังเพิ่มขีดความสามารถในการก่อเหตุได้อีกด้วย เชื่อหรือไม่ว่า ถ้าให้ลงมือพร้อมๆ กันในคืนเดียว จะปฏิบัติการต่อเป้าหมายได้มากสุดถึง 184 จุด ซึ่งปฏิบัติการล่าสุดที่ลงมือต่อ 45 เป้าหมาย ถือว่ายังไม่ถึงครึ่งของศักยภาพที่มีอยู่

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบ “ร่องรอย” ของเหตุการณ์ก่อการร้ายครั้งล่าสุดพบว่า ทั้ง 45 เหตุ “ชุดปฏิบัติการ” ล้วนเป็นกองกำลังระดับ “อาร์เคเค” หรือหน่วยคอมมานโด ส่วน “ชุดคุ้มกัน” มีส่วนผสมของ “นักรบหน้าขาว” ถูกจัดให้เข้าไปทำหน้าที่ผู้ช่วยอยู่ด้วย แต่ก็ไม่มากนัก

ดังนั้นจึงน่าสรุปได้ว่า การทำหน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “ล้มเหลวทั้งระบบ” ถึงเวลาต้องเร่งปฏิรูปเป็นการด่วน เพราะมีแนวโน้มว่าการก่อการร้ายจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต อันเนื่องจากปัญหามากมายที่ค้างคาอยู่บน “โต๊ะพูดคุยสันติสุข” โดยเฉพาะความขัดแย้งภายในระหว่างปีกการเมืองกับปีกการทหารของฝ่ายบีอาร์เอ็นเอง

และแม้แต่ประเด็นการสร้าง “นักรบพระเจ้า” ที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของบีอาร์เอ็นใช้สร้างมวลชนและเพิ่มความเกลียดชังต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ปมปัญหานี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าก็ต้องหาทางหยุดการกระทำดังกล่าวให้ได้โดยเร็วและอย่างเด็ดขาดด้วย

เพราะถ้าใช้ “ผู้นำศาสนา” ทำความเข้าใจไม่ได้ผล เอางี้ดีไหม ให้ไปเชิญตัว “ประธานกรรมการอิสลาม” และ “โต๊ะอิหม่าม” ประจำมัสยิดที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนามาทำหน้าที่อธิบายแทนว่า ผู้ตายจากการถูกวิสามัญฆาตรกรรมไม่เป็น “ชาอีด” หรือไม่ได้เป็น “นักรบพระเจ้า”

เพราะแผ่นดินชายแดนใต้ไม่ใช่ “แผ่นดินดารุนฮารบี” การตายจากการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่จึงไม่ใช้ “ผู้พลีชีพ” ลองดูซิว่าครอบครัวผู้ตายและสังคมคนในพื้นที่จะเชื่อถือหรือไม่ แต่ที่สำคัญคือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจะทำให้ผู้นำศาสนาดังกล่าวยอมให้ความร่วมมือกับทางราชการได้หรือไม่

เรื่องนี้สำคัญมากและต้องเร่งทำให้ถึงที่สุด ไม่ใช่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย แล้วกลับบอกว่า ทำไม่ได้ ที่สำคัญถึงเวลาแล้วที่ “ต้องบังคับใช้กฎหมาย” และต้องไม่ยอมให้มีการ “บิดเบือนหลักการศาสนา” เพราะการแห่ศพและตระโกนคำว่า “ปาตานี เมอร์เดก้า” นั่นสื่อถึงอะไร ผิดกฎหมายหรือไม่

พอเถอะกับการแก้ปัญหาอย่างที่เป็นไปแบบ “ประคับประคองสถานการณ์” เพราะไม่ใช่ทางออกของการ “ดับไฟใต้” แต่เป็นการ “เติมเชื้อสุมไฟ” เพื่อรอการปะทะครั้งใหญ่เสียมากกว่า

ห้วง “เดือนรอมฎอน” ที่เหลืออยู่ และจะต่อเนื่องด้วยประเพณี “สงกรานต์” และ “เข้าพรรษา” ซึ่งล้วนเป็น “วันสัญลักษณ์” สำคัญที่เชื่อว่า บีอาร์เอ็นมีแผนก่อความไม่สงบไว้แล้ว จึงขอถามว่า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” มีแผนรับมืออย่างไร ช่วยบอกเล่าเก้าสิบให้สังคมได้รับรู้รับทราบบ้างได้หรือไม่

Relate topics