รัฐบาลและกองทัพควรนำกระเช้าไปกราบขอบคุณผู้นำบีอาร์เอ็น?!

by sorawit @14 มิ.ย. 2567 09:29 ( IP : 27...213 ) | Tags : ทัศนะ - สนทนา
photo  , 1080x1080 pixel , 101,092 bytes.

ทัศนะ : ไชยยงค์ มณีพิลึก

ระหว่าง 11-13 มิถุนายน 2567 ที่ “ทูตานุทูต” จาก 12 ประเทศมุสลิมเดินทางเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเตรียมแผนป้องกันได้ดีมาก ไม่มีเหตุร้ายให้นำไปวิพากษ์วิจารณ์ แถมยังสยบความคิดว่ามีการ “ขัดแย้งด้วยอาวุธ” อันเป็นไปตามรัฐบาลแถลงว่าไฟใต้คงจะยุติลงได้ในอีกไม่นาน
นี่ถ้าทำให้เหตุร้ายในชายแดนใต้สงบลงได้อย่างนี้ตลอดไป น่าจะเป็นข่าวดีที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษของไฟใต้ระลอกใหม่เลยทีเดียว แต่ก็เชื่อกันว่าหลังคณะทูตานุทูตประเทศมุสลิมกลับไป ความรุนแรงน่าจะหวนกลับมาเหมือนเดิม โดยเฉพาะก่อนถึง “ตรุษอีดิ้ลอัฎฮา” หรือ “วันรายอฮัจยี” วันที่ 17 มิถุนายน 2567 นี้
แต่ก็มีเหตุการณ์ที่เกิดจากฝีมือแนวร่วมบีอาร์เอ็นในชายแดนใต้ที่มักเกิดขึ้นแบบถูกที่ถูกเวลา นั่นคือ “มหกรรมแขวนป้ายผ้า” และ “พ่นสีถนน” แบบเต็มพิกัด อันเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อแสดงสัญลักษณ์กล่าวหารัฐไทยว่า ไม่มีความจริงใจต่อกระบวนการสันติภาพ ปรากฏการณ์นี้เกิดก่อนคณะทูตานุทูตเดินทางมาเพียง 2 วัน หรือคืนเชื่อมต่อระหว่างวันที่ 8-9 มิถุนายนที่ผ่านมา
ปรากฏการณ์นี้ยึดโยงไปยัง “กระบวนการพูดคุยสันติสุข” ของคณะกรรมการฝ่ายเทคนิค ที่พบปะพูดคุยกันมาแล้ว 2 ครั้งหลังเวทีพูดคุยสันติสุขคณะใหญ่ผ่านไป แต่การพูดคุยของคณะกรรมการฝ่ายเทคนิคก็ไม่มีความคืบหน้าตามกรอบข้อตกลง (JCPP) ที่กำหนดขึ้นจากทั้ง 2 ฝ่าย
บางข้อความบนป้ายผ้าที่ปรากฏตามสถานที่ต่างๆ นอกจากโจมตีเรื่องความไม่จริงใจในการพูดคุยสันติภาพแล้ว ยังมุ่งโจมตีกรณีหน่วยงานรัฐให้ “กลุ่มทุน” เข้าไปกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทำ “เหมืองแร่” และ “เหมืองหิน” ที่ปัตตานีและนราธิวาส ซึ่งมีเอ็นจีโอและประชาชนคัดค้านมาโดยตลอด
ถือเป็นความชาญฉลาดของบีอาร์เอ็น ที่ทำให้เห็นว่า ยืนเคียงข้าง “มวลชน” ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายรัฐก็จะถูกแปรให้เป็น “แนวร่วมมุมกลับ” เพื่อเสริมสร้างความเติบโตให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนไปทันที
ดังนั้นแค่ปฏิบัติการแขวนป้ายผ้าของแนวร่วมบีอาร์เอ็นจึงเป็นการทำสงครามจิตวิทยาที่ “ลงทุนน้อย” แต่กลับ “ได้ผลมากมาย” ซึ่งประเมินผลได้ดังนี้
1.ไม่ต้อง “ออกแถลงการณ์” เป็นลายลักษณ์อักษรสาธยายถึงความล้มเหลวของกระบวนการพูดคุยของคณะกรรมการฝ่ายเทคนิค เพราะอาจจะไม่ได้รับความสนใจจากสื่อเหมือนกับการแขวนป้ายผ้าที่ได้กลายเป็น “ข่าวใหญ่” อย่างเต็มพิกัดไปแล้ว
2.“สื่อตรง” ไปยังทูตานุทูตของทั้ง 12 ประเทศมุสลิมที่เพิ่งเดินทางมาเยือนชายแดนใต้ เพราะข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกแล้ว
3.ปฏิบัติการแขวนป้ายผ้าของบีอาร์เอ็นเป็นเหมือน “ปลายหอก” ที่ปักเข้า “ยอดอก” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าอย่างจังเบอร์
มีคำถามจากคนในพื้นที่ โดยเฉพาะชาวไทยพุทธและคนไทยเชื้อสายจีนคือ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง รวมถึงกองกำลังท้องถิ่นที่มีรวมๆ กันแล้วไม่น้อยกว่า 50,000 ชีวิต ทำไมไม่มีใครทราบความเคลื่อนไหวหรือระแคะระคายมาก่อนบ้าง
ทั้งที่ปฏิบัติการแขวนป้ายผ้าและพ่นสีถนนเกิดขึ้นในบริเวณตัวเมือง หรือในเขตเทศบาล รวมถึงตามทางหลวงสายหลัก ทำไมปล่อยให้เกิดเหตุได้ง่ายดายนัก อันเป็นเหมือนกับคำร่ำลือของประชาชนในพื้นที่ที่ว่า “เวลากลางวันเป็นของเจ้าหน้าที่ ส่วนกลางคืนเป็นเวลาของโจร”
อย่างไรก็ตามคงต้องเห็นใจตำรวจ ทหาร และกองกำลังท้องถิ่นอย่าง อส.และ ชรบ. เพราะอย่าว่าแต่กลางคืนที่ไม่กล้าออกจากฐานปฏิบัติการเลย แม้แต่กลางวันที่ออกจากฐานไปปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน รักษาความปลอดภัยพระและครูก็ยังถูกโจมตีทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย
แต่สำหรับเจ้าหน้าที่อย่าบอกนะว่า ปฏิบัติการแขวนป้ายผ้าและพ่นสีถนนเที่ยวล่าสุดเป็นพวก “นักรบหน้าขาว” ที่เพิ่งผ่านการบ่มเพาะเข้าสู่ขบวนการ ซึ่งเป็นผลให้เจ้าหน้าที่ไม่มีข้อมูลและยากต่อการป้องกัน เนื่องเพราะมีหลักฐานทนโท่จาก 2 ผู้ถูกจับกุมได้ที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานีว่า เคยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง
ดังนั้นปฏิบัติการของ “แนวร่วมซ้ำซาก” ที่เกิดขึ้นจึงเข้าทางทั้งฝ่ายบีอาร์เอ็นและคนในพื้นที่ที่มองเห็นว่า กำลังเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งจุดตรวจ จุดสกัดและป้อมยามต่างๆ ไม่มีความหมาย เพราะมีหรือไม่มีก็ไม่ต่างกัน แถมยังควรให้ทหารกลับเข้ากรมกอง และยกเลิก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไปเลยก็ได้ เพราะอยู่ไปก็ปกป้องอะไรไม่ได้
ซึ่งก็น่าจะจริงนะ เพราะนี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ยังจับใครเพิ่มไม่ได้ รวมทั้งยังไม่เห็นการขยายผลใดๆ ต่อเนื่องมา
เวลานี้มีคนในพื้นที่ฝากถามถึง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าว่า ถ้าในคืนวันที่ 8-9 มิถุนายนที่ผ่านมาฝ่ายบีอาร์เอ็นเปลี่ยนจากแขวนป้ายผ้าและพ่นสีถนนไปเป็นการ “แขวนระเบิด” และ “โรยตะปูเรือใบ” จะเกิดอะไรกับการเดินทางมาเยือนของคณะทูตานุทูตจากประเทศมุสลิมดังกล่าว ที่สำคัญรัฐบาลไทยเราจะเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อยากบอกกับบรรดาท่านๆ ที่มีอำนาจใน “รัฐบาล” และ “กองทัพ” ทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า ควรรีบนำเอากระเช้าไป “กราบขอบคุณ” ผู้นำบีอาร์เอ็นที่พวกเขายังไว้หน้าให้ด้วย

Relate topics